มองจากข้างล่าง

พฤศจิกายน 28, 2008

ช่วงนี้รู้สึกว่าตัวเองเนื้อหอมเป็นพิเศษครับ เพราะได้รับชวนเชิญไปเขียนในหนังสือหลายๆ ฉบับเลย มีตั้งแต่หนังสือที่น้องๆ ในมหาวิทยาลัยทำกันเอง ไปจนถึงหนังสือที่เอาไว้ให้ผู้ใหญ่อ่าน
    นิตยสาร Mix เป็นหนังสือที่เอาไว้ให้ผู้ใหญ่อ่านเล่มหนึ่งซึ่งผมได้รับชวนไปเขียนมาเมือเดือนก่อนครับ คอลัมน์ที่เขาให้ผมไปเป็นแขกรับเชิญนั้นชื่อว่า In My Life ซึ่งจะว่าไปแล้วเป็นชื่อเพลงโปรดของผมที่มาจากฝีมือ The Beatles นะครับ ฟังเพลงนี้ทีไรน้ำตาซึมทุกที แล้วอย่างนี้ผมจะปฏิเสธไม่เขียนได้อย่างไร
    แต่การเขียนเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นจะว่าไปก็ยากแสนยาก เพราะชีวิตคนเราล้วนมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย เอาแค่แต่ละวันให้ผ่านพ้นไปก็วุ่นวายเหลือเกินแล้ว (ไม่เชื่อลองอ่านข่าวการเมืองช่วงนี้สิครับ)
    เรื่องที่ผมเขียนให้หนังสือ Mix ไม่รู้ว่าตอบโจทย์ของเขาได้ตรงแค่ไหน แต่ผมเลือกเขียนเรื่องหนึ่งซึ่งอยู่ในใจผมมาทั้งชีวิตครับ
    นั่นก็คือเรื่อง ‘ท้องฟ้า’

* * * * * * * * * *

sky1

มองจากข้างล่าง

    วันหนึ่งในฤดูหนาวเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน ตอนนั้นผมอายุราวสิบขวบ กำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ อยู่ที่โรงเรียนแถวชานเมืองในช่วงพักเที่ยง ลมหนาวเย็นเยียบพัดโหมเป็นระยะ ตัดกับความอบอุ่นของแสงแดดในฤดูหนาว กลุ่มของพวกเราวิ่งไล่กันห่างออกมาจากเด็กๆ กลุ่มใหญ่ในสนามฟุตบอล เราวิ่งๆๆ ตามกันมาจนถึงพื้นที่ด้านข้างของโรงเรียนที่มีทิวต้นสนปลูกเรียงราย พื้นดินใต้ฝ่าเท้าอ่อนนุ่มจากซากใบสนจำนวนมหาศาลที่หล่นลงมาทับถมกันนานนับเดือน ใครคนหนึ่งหกล้มกลิ้งลงไปกองใต้ต้นสนใหญ่ พวกเราหัวเราะแล้วกระโดดทิ้งตัวตามลงไปนอนทับกันเป็นกอง ใบสนเรียวยาวสีน้ำตาลบนพื้นปลิวฟุ้ง ผมกลิ้งตัวไปนอนเคียงข้างกับเพื่อนๆ
    วูบนั้นลมหนาวพัดมาหอบใหญ่ ฉุดให้ใบสนที่พร้อมจะปลิดตัวอำลาจากกิ่งปลิวร่อนลงมามากมาย พวกเราหยุดเสียงหัวเราะแล้วมองดูภาพนั้นด้วยความพิศวง
    ก่อนหน้านั้นไม่กี่วินาที ภาพในสายตาของผมยังเป็นภาพเพื่อนๆ ในเสื้อกันหนาวหลากสีวิ่งไล่ตามกันมาเป็นพรวน ความคิดในหัวยังเป็นการพยายามไล่ตีไล่เตะคนที่อยู่ตรงหน้าแล้วคอยหลบมือไม้ของคนที่วิ่งตามมา เสียงก้องในสองหูยังเป็นเสียงหัวเราะและคำด่าขำๆ แบบเด็กๆ แต่ชั่วขณะที่พวกเราล้มลงนอนเรียงกัน ภาพเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนเป็นภาพท้องฟ้าเวิ้งว้างกว้างไกล ก้อนเมฆสีขาวยิ่งกว่าขาวลอยเต็มฟ้า ใบสนมากมายค่อยๆ ร่อนสู่พื้น บางใบตกลงมาสัมผัสตามตัวของพวกเราเบาๆ
    พวกเราพากันเงียบลงไป ต่างคนต่างจดจ้องมองขึ้นไปบนฟ้า ก้อนเมฆสีขาวลอยเลื่อนอ้อยอิ่ง ยอดสนโอนเอนไปมาตามแรงลม และวันเวลาของพวกเรายังอีกยาวไกล
    ใครคนหนึ่งถอนหายใจออกมาเบาๆ
    ไม่ใช่เสียงถอนหายใจจากความกลุ้มใจ แต่เป็นเสียงแสดงความสุขสมจากการได้เสพความสวยงามของภาพท้องฟ้าเบื้องบน
    กระนั้น ใครอีกคนก็พูดแซวขึ้นว่า “มึงจะกลุ้มใจอะไรนักหนาวะ”
    เราหัวเราะออกมากันครืนใหญ่ เพราะรู้ดีว่า ชั่วขณะนั้น ไม่มีใครต้องกลุ้มใจอะไรสักหน่อย ทุกคนกำลังมีความสุขอยู่ต่างหาก

* * * *

    เย็นวันหนึ่งในฤดูฝนเมื่อสิบแปดปีก่อน ผมอายุราวสิบเจ็ดปี กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย มันเป็นเย็นวันอาทิตย์ที่ไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากผม ทุกคนออกไปทานข้าวข้างนอก ทิ้งให้ผมหมกมุ่นอยู่กับหนังสือเรียนและการบ้านที่กำลังติดพัน ตอนนั้นเป็นช่วงใกล้สอบที่ผมต้องเริ่มอ่านหนังสือเตรียมตัวไว้บ้างแล้ว ไหนยังจะมีการบ้านอีกหลายๆ วิชาที่กองสุมอยู่ ผมสะสางมาแล้วตั้งแต่เย็นวันศุกร์ แล้วก็ทำๆๆๆ ไปจนถึงเย็นวันอาทิตย์ มีหยุดพักบ้างก็ตอนที่ต้องกินข้าว นอนหลับ และออกไปเรียนพิเศษ แต่งานที่ค้างก็ยังคาอยู่อีกเยอะ ไม่น่าเชื่อว่าระบบการศึกษาไทยจะทำให้เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเหน็ดเหนื่อยได้ขนาดนี้
    อีกไม่กี่เดือนผมจะต้องสอบเอ็นทรานซ์ ผมมีคณะที่ใฝ่ฝันอยากจะเรียนมาเนิ่นนาน แผนการอ่านหนังสือสอบที่วางไว้ยาวนานว่าตอนไหนจะต้องอ่านอะไรก็ดำเนินมาด้วยดี แต่มองไปข้างหน้าแล้วหนทางยังอีกไกล ผมนึกสงสัยว่าจะมีสักครั้งไหมที่ตัวเองจะเผลอไผลตบะแตก ทนอ่านหนังสือและทนไปเรียนพิเศษตามแผนการไม่สำเร็จ หรือถ้าเกิดผมทำได้สำเร็จหมดทุกขั้นตอนแล้ว แต่ดันเอ็นทรานซ์ไม่ติดล่ะ นั่นหมายความว่าสิ่งที่เพียรทำมายังไม่ดีพออย่างนั้นหรือ?
    นึกถึงอนาคตแล้วผมก็ถอนหายใจ มองดูตำรับตำราตรงหน้าแล้วก็รู้สึกห่อเหี่ยวเหลือเกิน
    เสียงแตรรถยนต์ดังปี๊นๆ ที่หน้าประตูรั้วบ้าน ครอบครัวผมคงจะกลับมาจากข้างนอกแล้ว ผมชะโงกหน้าออกไปดูที่หน้าต่าง แล้วผมก็เห็นภาพนั้น…
    มองไกลจากประตูรั้วบ้านของผมออกไป ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับ ขอบฟ้าทิศตะวันตกยามเย็นนั้นเป็นสีส้มเศร้าสร้อย เบื้องบนเป็นสีดำสนิทไปแล้ว ริ้วเมฆสีคล้ำเบาบางวางพาดเป็นระยะๆ
    ความหนักหน่วงของชีวิตกดทับจนใจสะท้อน ผมยืนมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง สีส้มตรงขอบฟ้าค่อยๆ ถูกสีดำกัดกลืนอย่างมั่นคงเชื่องช้า คล้ายกับว่าดวงตะวันจะไม่มีวันขึ้นมาอีกแล้ว ผมมองภาพนั้นแล้วหวั่นไหว มองเหนือขึ้นไปบนท้องฟ้าก็ยิ่งมืดสนิทไม่มีแม้แสงดาว คล้ายกับว่าวันพรุ่งนี้ไม่มีอยู่จริง
    ชั่วขณะนั้นผมรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก
    บอกไม่ถูก …แต่ก็จดจำความรู้สึกนั้นได้จนวันนี้

* * * *

    ยามสายวันหนึ่งของปลายฤดูหนาวเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นผมอายุยี่สิบห้าปี หลังจากที่ค้างคืนระหว่างทางมาแล้วหนึ่งคืน ผมกับเพื่อนอีกสองคนกำลังเดินตามหลังไกด์นำทางขึ้นสู่ยอดดอยหลวงเชียงดาว เมื่อเช้านี้ผมกับเพื่อนๆ ลุกขึ้นมาจัดแจงสัมภาระและรีบแข่งกันเดิน เรารู้ดีว่าวันนี้แหละจะได้ไปถึงยอดดอยหลวงเชียงดาวแล้ว
    ระหว่างทางที่เดินขึ้นไป น้ำค้างยังไม่ทันระเหยแห้งไปจากต้นหญ้าข้างทางซึ่งสูงระดับเอว ทำเอาเสื้อผ้าของเราเปียกชุ่มไปหมด ทางเดินก็ยิ่งเปียกชื้น แม้ไม่ถึงกับชวนลื่นไถลแต่ก็ทำให้เราต้องระมัดระวังในการก้าวเดินแต่ละก้าว แถมยิ่งเดินขึ้นที่สูงก็ยิ่งเหนื่อยง่าย เราค่อยๆ ก้มหน้าก้มตาเดินๆๆๆ ไปเรื่อย ยิ่งก้าวไปก็ยิ่งไม่มีบทสนทนาระหว่างเรานอกจากเสียงหอบและเสียงถอนหายใจเป็นระยะๆ
    จนเมื่อเราเดินขึ้นไปถึงที่ราบเล็กๆ บนยอดดอยแล้วนั่นแหละ ผมจึงได้เงยหน้าขึ้นมองภาพวิวที่ตั้งใจจะมาดูอย่างเต็มตา
    น่าเสียดายที่วันนั้นไม่มีทะเลหมอก แต่ภาพภูเขา ภูเขา และภูเขาที่มีให้เราเห็นจนสุดสายตาก็สร้างความน่าตื่นใจได้มากมายแล้ว มองลงไปจากตรงนั้นมันช่างทำให้เรารู้สึกว่ามนุษย์ช่างเป็นสิ่งเล็กๆ เมื่อเทียบกับธรรมชาติอันแสนยิ่งใหญ่ แต่เมื่อผมแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าบ้าง ท้องฟ้าบนนี้ไม่แตกต่างจากท้องฟ้าที่ผมเห็นจากตีนดอยหรือจากที่ใดๆ แม้จะรู้สึกว่าตัวเองขึ้นมาสูงจากพื้นดินในระดับหลายร้อยเมตร แต่จะเอื้อมมือขึ้นสูงอย่างไรก็ยังไม่ได้แตะถึงไหนสักที
    สายลมพัดมาอื้ออึง คล้ายจะตะโกนบอกย้ำให้รู้ว่าผมขึ้นมาถึงยอดดอยแล้ว
    แต่ท้องฟ้าที่มองเห็น ก็ยังคงอยู่อีกห่างไกลเหลือเกิน
    เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า ผมกลับยิ่งรู้สึกว่ามนุษย์ช่างเป็นสิ่งเล็กน้อยยิ่งกว่าการมองลงมาจากยอดดอยเสียอีก

* * * *

    ทุกวันที่ผ่านพ้น ส่วนใหญ่ผมมักจะใช้เวลามองไปข้างหน้า เดินไปตามจุดหมายที่ตั้งใจไว้ สะสางภารกิจข้างหน้าให้ลุล่วง แก้ปัญหาที่วิ่งเข้ามาทุกวัน แต่บางทีผมก็หันไปห่วงคนข้างๆ เพราะต้องคอยดูแลเพื่อนร่วมทางให้เดินไปได้พร้อมๆ กัน มีบางวันผมหันไปมองข้างหลัง เพราะเรื่องราวในอดีตหลายเรื่องยังตามมาติดอยู่ในใจ
    แต่นานๆ ครั้งในชีวิต ผมก็มองขึ้นไปบนฟ้าบ้าง อาจโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ผมพบว่าท้องฟ้าเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เพียงแค่สว่างจ้าเวลากลางวันและมืดมิดเวลากลางคืน แต่ในรายละเอียดของแต่ละช่วงเวลายังแตกต่างกันไปอีกด้วย ท้องฟ้ายังสามารถบ่งบอกและนำพาอารมณ์จิตใจ ท้องฟ้ายังสามารถพาให้เราหลุดจากสภาวะของชีวิตตรงหน้าไปได้ชั่วคราว
    ทุกครั้งที่ผมได้แหงนหน้ามองท้องฟ้า ประโยคแรกที่ฟ้าเบื้องบนกล่าวทักทายกับผมก็คือ ‘นี่เราเกือบจะลืมแบ่งเวลาเอาไว้มองดูท้องฟ้าไปแล้วสินะ’
    แต่บางทีมันอาจจะเป็นประโยคที่ผมเอ่ยทักทายกับตัวเองก็เป็นได้

ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสาร Mix พฤศจิกายน 2551

* * * * * * * * * *

    นึกถึงเพลงหลายๆ เพลงที่พูดถึงท้องฟ้าไหมครับ? “…ยืนมองท้องฟ้าไม่เป็นเช่นเคย ฤดูร้อนไม่มีเธอเหมือนเก่า…” หรือ “เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอ…” ผมคิดว่าท้องฟ้าสามารถเป็นแรงบันดาลใจมหาศาลให้กับมนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราๆ เสมอมา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแรงปรารถนาที่จะเอาชนะธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ หรือแรงบันดาลใจให้สร้างงานศิลปะชิ้นเยี่ยมสักชิ้น หรือแม้แต่เป็นแรงบันดาลใจให้นึกถึงใครสักคนขึ้นมาจนสุดหัวใจ
    …ทุกวันนี้ ยังมีเวลามองท้องฟ้ากันอยู่ใช่ไหมครับ?

สวัสดีอีกหนครับ
    เป็นอีกครั้งที่อยากจะอวดคอลัมน์ในจุดประกาย กรุงเทพธุรกิจ นะครับ ชิ้นนี้เขียนแล้วรู้สึกว่านอกจากจะให้คนอื่นๆ อ่านในหนังสือพิมพ์กันแล้ว ก็น่าจะเอามาให้พี่ๆ น้องๆ ที่เป็นนักอ่านญาติสนิทในบล็อกได้อ่านกันด้วย เพราะมันน่าจะทำให้รู้จักกันได้สนิทสนมขึ้นอีกระดับ เป็นการเปิดเผยแง่มุมของตัวเองที่ไม่ค่อยได้บอกใครจริงๆ น่ะครับ
    ก่อนอ่าน ต้องขอถามกันตรงๆ หนึ่งคำถามในฐานะที่ก็รู้จักกันมาบ้างแล้ว
    คุณคิดว่าชื่อผมแปลกไหมครับ?

* * * * * * * * * *

ชั้นของชื่อในชื่อของชั้น 
   
    ผมชื่อ วิภว์ ครับ
    อ่านออกเสียงว่า วิพ
    คุณพ่อผมตั้งชื่อนี้ให้ใช้มาตั้งแต่เกิด ท่านบอกว่าที่มาของชื่อมาจากอักษรย่อภาษาอังกฤษว่า V.I.P. แต่จริงๆ ในภาษาไทยเราคำว่า  วิภว- ซึ่งมีรากมาจากภาษาบาลี-สันสกฤตก็มีความหมายถึง ความเจริญ, สมบัติ, ความไม่มีไม่เป็น นะครับ
    ตอนเด็กๆ นั้นสารภาพกันตรงๆ ว่าผมไม่ได้ชอบชื่อตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะทุกปีเวลาเลื่อนขึ้นชั้นเรียนตอนต้นปีการศึกษาใหม่ๆ ผมต้องอึดอัดกับเวลาที่อาจารย์หลายท่านขานชื่อผมเป็น ‘วิทย์’ ทุกทีไป อาจารย์บางท่านไม่แน่ใจการออกเสียงชื่อของผมก็เอ่ยถามกันตรงๆ ว่าชื่อของผมอ่านว่าอะไรกันแน่ อาจารย์บางท่านก็เรียกผิดโดยไม่เคยคิดถาม จนผมต้องเป็นฝ่ายรวบรวมความกล้าแล้วลุกขึ้นบอกเอง สรุปว่าต้องใช้เวลาหลายคาบเรียนผ่านไปอาจารย์ส่วนใหญ่จึงจะเรียกชื่อผมได้ถูกต้อง
    นอกจาก วิทย์ แล้ว ชื่อของผมยังถูกออกเสียงผิดเป็น วิก, วิช หรือแม้แต่ วิภา แล้วยังมีเรื่องการสะกดชื่อในงานเอกสารต่างๆ จะมีคนเขียนชื่อผมผิดเป็นประจำ มีทั้ง วิทว์, วิปภ์ หรือ วิภาวี ไปเลยก็มี ส่วนเรื่องการเอาชื่อผมมาล้อนั้นไม่ต้องห่วงครับ ชื่อแปลกขนาดนี้มีหรือจะไม่โดน ที่จำได้แม่นก็คือตอนมัธยมต้นมีอาจารย์สอนเลขท่านหนึ่งชอบเรียกผมแบบเล่นๆ แกมเอ็นดูว่า วิม ซึ่งเป็นชื่อยี่ห้อน้ำยาล้างห้องน้ำ
    ผมต้องเจอกับสภาวะการโดนเรียกผิดและเขียนชื่อผิดๆ เช่นนี้มาตลอด กระทั่งปัจจุบันก็ยังเจออยู่บ้างเวลาที่ได้รับการแนะนำตัวกับใครคนใหม่ๆ ในชีวิต หรือเวลาที่ได้จดหมายเชิญไปร่วมงานต่างๆ
    นึกแล้วก็แปลกดี เพราะหากดูการสะกดตามหลักภาษาไทยที่ ภ. สำเภา ออกเสียงเหมือน พ. พาน และตัวอักษรไหนมีการันต์ต้องงดออกเสียง ยังไงๆ ชื่อ วิภว์ ก็ต้องอ่านออกเสียงว่า วิพ แต่คงเป็นเพราะผู้อ่านมักไม่แน่ใจว่าชื่อแบบนี้จะมีอยู่ด้วยหรือ เลยมักจะยึดถือเอาชื่อที่เคยได้ยินมากกว่าอย่าง วิทย์ เอาไว้ก่อน ผมเคยลองสอบถามดูแล้ว บางคนเห็นตัวสะกดชื่อผมแล้วเข้าใจว่าพิมพ์ผิดมากกว่ากลัวตัวเองจะออกเสียงผิดด้วยซ้ำไป
    ดังนั้นถึงจะโดนเรียกผิดมาตั้งแต่เด็กจนโต ผมก็ไม่ได้โกรธโทษใครเท่าไหร่ แต่ยิ่งอยู่มาก็ยิ่งเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่ก็ต้องยึดติดกับอะไรที่คุ้นชินไว้ก่อน และการทำอะไรแปลกออกไปจากที่เขาทำๆ กันบางทีก็ต้องเตรียมใจยอมรับกับการเข้าใจผิดไว้บ้าง
    สมัยที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรี ผมก็เริ่มเขียนเรื่องสั้นส่งไปตามนิตยสารต่างๆ ครับ ตอนนั้นผมคิดนามปากกาให้ตัวเองด้วย เวลามีงานตีพิมพ์ที่ไหนก็ใช้เครดิตเป็นนามปากกานั้นไป ไม่ได้ลงชื่อจริงกำกับเอาไว้ ส่วนหนึ่งก็คิดว่าชื่อของตัวเองนั้นจำยาก เรียกยาก อีกส่วนหนึ่งก็เป็นความฝันใฝ่ของนักเขียนหน้าใหม่ด้วยที่อยากมีนามปากกาเท่ๆ ไว้ใช้บ้าง ผมเขียนเรื่องสั้นอยู่ 4-5 ปีก็พอมีชื่ออยู่บ้างในทางเรื่องสั้นด้วยนามปากกานั้น จนมาเจอกับพี่โหน่ง-วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ พี่เขาบอกว่าจะรวมเรื่องสั้นให้ขายเป็นเล่ม ตอนนั้นพี่เขาแนะนำไว้นิดหน่อยว่าน่าจะใช้ชื่อจริง ซึ่งผมก็กลับมานั่งคิดๆ ดูแล้วก็เห็นพ้องด้วย ก็เลยมีหนังสือรวมเรื่องสั้นในชื่อจริงของตัวเองออกมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เขียนเรื่องสั้นโดยใช้นามปากกามาตลอด
    พอเห็นชื่อจริงนามสกุลจริงของตัวเองอยู่บนปกหนังสือที่เราตั้งใจเขียนมาเป็นปีๆ แล้วรู้สึกภูมิใจชะมัดเลยล่ะครับ
    หลังจากนั้นผมเลยใช้ชื่อจริงของตัวเองในงานเขียนมาตลอด น่าตลกที่พอใช้ๆ ไปดันมีคนทักว่าชื่อผมเหมือนนามปากกาก็มี และอานิสงค์อย่างหนึ่งของการที่โดนเขียนชื่อผิดบ่อยๆ ก็คือเวลาผมเขียนชื่อใครในงานเขียน ผมก็มักจะตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีกว่าสะกดชื่อเขาไม่ผิดแน่ๆ เพราะเข้าใจหัวอกของคนที่ถูกสะกดชื่อผิดเป็นอย่างดี
    เคยมีคนถามผมว่าคิดจะเปลี่ยนชื่อบ้างไหม ผมตอบได้เลยว่าไม่เคยคิดครับ เหตุผลประการแรกคือเนื่องจากชื่อจริงของผมมีพยางค์เดียวอยู่แล้ว ดังนั้นผมเลยไม่มีชื่อเล่น และไม่ว่าใครๆ ทั้งใกล้ไกล ทั้งเพื่อน พ่อแม่ พี่น้อง ก็เรียกผมด้วยชื่อนี้มาทั้งชีวิตแล้ว ผมก็คุ้นเคยของผมมาตลอด เหตุผลประการต่อมาก็คือน้องชายของผมมีชื่อเล่นว่า ‘แว้บ’ ครับ ดังนั้นเวลาเรียกชื่อพี่น้องคู่กันแล้วมันก็ดูเข้าคู่กันดีอยู่แล้วล่ะ
    จริงๆ แล้วถึงจะโดนเรียกผิดมามากมาย แต่ผมไม่เคยนึกรังเกียจชื่อแปลกๆ ของตัวเองแต่อย่างใด ถึงวันนี้ยังออกจะภูมิใจกับมันด้วยซ้ำ ยิ่งพออาชีพเขียนหนังสือทำให้ชื่อของผมมันผ่านตาใครต่อใครมากขึ้นอีกนิด ก็ยิ่งมีคนมาบอกว่าชื่อผมเท่ดีนะ กลายเป็นตัวบ่งชี้ว่าผลงานของผมคงจะเป็นที่น่าจดจำอยู่บ้าง เขาถึงได้จดจำชื่อของคนเขียนเอาไว้นะ ยิ่งชื่อที่แปลกๆ อย่างนี้ก็น่าจะต้องใช้ความพยายามในการจำมากกว่าชื่อเรียกง่ายๆ อยู่ด้วยสิ …อันนี้ผมคิดเข้าข้างตัวเองสักหน่อย
    แน่นอนครับ วันนี้และต่อไปๆ คนที่อ่านชื่อผมผิดก็ยังมีเรื่อยๆ และเอกสารจดหมายเชิญต่างๆ ก็ยังคงสะกดชื่อผมผิดๆ ถูกๆ อยู่เป็นประจำ
    แต่พอผ่านมาจนปัจจุบัน เรื่องนี้มันไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้วครับ เพราะถึงจะยังมีใครใหม่ๆ อีกหลายคนที่คุ้นเคยกับชื่ออื่นๆ ที่คล้ายๆ แต่ไม่ใช่ชื่อของผมก็ไม่เป็นไรหรอก
    เอาเป็นว่าผมคุ้นเคยและภูมิใจในชื่อของตัวเองก็แล้วกัน

ตีพิมพ์ครั้งแรก กรุงเทพธุรกิจ 26 กันยายน 2551

* * * * * * * * * *

    ถึงตรงนี้ผมมีข้อคิดเรื่องชื่ออีกอย่างหนึ่งครับ
    คือว่าถ้าวันหนึ่งผมมีโอกาสได้ตั้งชื่อลูกของตัวเอง (หรือแม้แต่ลูกของคนอื่นก็ตาม) ผมจะตั้งชื่อแบบไม่ธรรมดาให้แน่นอน
    เพราะประสบการณ์แปลกๆ เรื่องชื่อแปลกๆ ที่ผมได้รับจากชื่อตัวเองนั้น เป็นประสบการณ์ที่มีค่าจริงๆ นะครับ

กลับมาอีกหนจนได้นะครับ
    กลับมาคราวนี้มีคอลัมน์ใหม่มาแนะนำครับ เป็นคอลัมน์ชื่อ Life is Learning ที่ทางทีมงานเซ็กชั่นจุดประกาย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ให้เกียรติผมไปเขียนเดือนละครั้ง ก็เลยเอามาโปรโมตกันสักหน่อย เผื่อว่าจะมีคนได้อ่านบล็อกแล้วตามไปอ่านในหนังสือพิมพ์ (จริงๆ ควรจะเป็นได้อ่านในหนังสือพิมพ์แล้วตามมาอ่านบล็อกมากกว่า)
    ผมเขียนคอลัมน์นี้มาสี่ครั้งแล้วครับ หวังว่าจะเขียนได้ยาวนาน ชิ้นที่เอามาลงให้ดูเป็นงานที่ตีพิมพ์ไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมตั้งชื่อว่า ศิลปะไม่ต้องเข้าใจ ลองอ่านกันดูนะครับ…

* * * * * * * * * *

ศิลปะไม่ต้องเข้าใจ

    …หลังออกมาจากโรงภาพยนตร์อาร์ตเฮาส์ย่านอาร์ซีเอ เพื่อนผมหันมาถามว่า “หนังเมื่อกี๊มันจะสื่ออะไรวะ ดูไม่รู้เรื่องเลย”
    …หลังจากเดินดูนิทรรศการศิลปะจัดวางในแกลลอรี่ย่านสุขุมวิทอยู่พักใหญ่ เพื่อนร่วมงานของผมก็หันมาบอกว่า “สวยดี แต่ดูไม่ค่อยรู้เรื่องนะ”
    …ในคอนเสิร์ต ริก วชิรปิลันธ์ ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พอฟังเพลงของนักร้องสาวสุดเซอร์จบไปหนึ่งเพลง คนข้างๆ ก็หันมาบอกผมว่า “ฟังไม่รู้เรื่องเลยว่ะ เขาร้องว่าอะไร”

    เนื่องจากทำอาชีพเป็นสื่อบันเทิงที่มีหน้าที่แนะนำหนัง เพลง หนังสือ และงานศิลปะให้กับใครต่อใคร ผมจึงได้พบเจอคำถามประมาณนี้ค่อนข้างบ่อย บางครั้งเพื่อนดูหนังไม่รู้เรื่องแล้วโทรมาถามผมก็มี บางทีเพื่อนอ่านวรรณกรรมไม่เข้าใจแล้วโทรมาถามก็เคย
    แต่คำตอบแรกๆ ของผมส่วนใหญ่มักจะเป็นประโยคที่ว่า “ไม่เห็นต้องรู้เรื่องเลยนี่”
    ตอบไปง่ายๆ ไปแบบหน้าไม่อายอย่างนี้แหละ เพราะผมคิดว่าประเด็นสำคัญของการเสพงานศิลปะคือ เราควรจะเสพแล้ว ‘รู้สึก’ ก่อนที่จะ ‘รู้เรื่อง’ นะครับ
    แน่นอนว่างานศิลปะหลายชิ้นที่ว่าดูไม่รู้เรื่องนั้น ศิลปินก็คงมีแนวความคิดในการทำงานซ่อนอยู่ เส้นสายลายสีฉูดฉาดอาจจะถูกออกแบบมาให้สื่อถึงความโกรธเกรี้ยว หรือเสียงร้องบิดเบี้ยวอื้ออึงอาจจะเป็นตัวแทนของเสียงในจิตใจจากผู้คนแห่งสังคมเมือง แต่เรื่องแบบนี้ถ้าศิลปินไม่ได้ไปยืนอธิบายให้กับผู้เสพรับทราบกันเป็นรายตัว ใครเล่าจะไปเข้าใจได้ตรงเป๊ะ …ที่สำคัญ ทำแบบนั้นจะไปสนุกอะไรล่ะครับ?
    หลายๆ ครั้งเมื่อเราเห็นชิ้นงานศิลปะที่ดูแล้ว ‘อาร์ตๆ’ ความรู้สึกแรกจึงมักจะเป็นความไม่เข้าใจ
    แต่การเริ่มต้นด้วยความไม่เข้าใจนี่เองที่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเสพงานศิลปะ เพราะไม่เข้าใจจึงเกิดอาการใคร่รู้ เพราะใคร่รู้จึงเกิดความพยายามในการตีความ ส่วนใหญ่เมื่ออยากตีความแล้ว ผู้เสพอย่างเราๆ ก็มักจะเอาความรู้สึก อารมณ์ ตลอดจนประสบการณ์ และรสนิยมส่วนตัว เข้าไปวิเคราะห์ชิ้นงานนั้น
    สิ่งหนึ่งที่เราจะได้ใช้แน่ๆ ในขั้นตอนเหล่านี้ก็คือ ‘จินตนาการ’ ครับ …นี่ล่ะที่เขาว่า ศิลปะทำให้เกิดจินตนาการ
    นอกจากนี้ ผมคิดว่าระดับความพอใจในการวิเคราะห์ของคนเรายังไม่เท่ากันด้วย
    ในแวบแรก บางคนอาจจะตัดสินใจได้ทันทีว่าชอบหรือไม่ชอบชิ้นงานนั้นๆ เพราะใช้อารมณ์เข้าไปสัมผัส แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับบางคน …ในแวบที่สอง อีกบางคนอาจนึกอยากวิเคราะห์ต่อไปว่า แล้วที่ชอบหรือไม่ชอบนั้นเป็นเพราะอะไร คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของประสบการณ์ ความทรงจำ รสนิยม และอะไรต่อมิอะไรที่ติดตัวของกันมา แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับอีกบางคน …ในแวบต่อๆ มา ยังมีอีกบางคนอาจจะอยากได้ข้อมูลในเชิงลึกเพื่อประกอบการวิเคราะห์เข้าไปอีก ทีนี้เขาก็อาจจะไปตามตัวศิลปินหรือตามบทสัมภาษณ์ของศิลปินเจ้าของงาน ไม่ก็อาจจะไปหาอ่านบทวิจารณ์ของเหล่าคอลัมนิสต์นักวิจารณ์เพื่อหาความเห็นเพิ่มเติม หรือกระทั่งลงทุนไปลงทะเบียนเรียนศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองเลยก็เป็นได้
    ทุกคนไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก เพียงแค่ระดับความพอใจไม่เท่ากันเท่านั้น บางคนอาจจะรู้สึก คิด และเลือกที่จะเข้าใจงานชิ้นนั้นๆ ในความหมายของตัวเอง บางคนอาจจะเอาทฤษฎีเข้ามาจับ เอาแนวคิดของศิลปินเข้ามาตีความ นั่นก็อยู่ที่ใครจะเลือกวิเคราะห์แบบใด
    แต่แน่นอน ทุกคนล้วนเริ่มต้นจากความไม่เข้าใจกันทั้งนั้น
    และการที่ผู้เสพศิลปะสามารถตีความได้หลากหลายอย่างนี้นี่แหละ ที่ทำให้การศิลปะเป็นเรื่องน่าสนุก ยิ่งนำมาแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้ ก็ยิ่งทำให้เข้าใจในตัวตนและความคิดอ่านของแต่ละคนกันมากขึ้น และที่สำคัญ การที่เราดูงานศิลปะแล้วเกิดความรู้สึกบางอย่าง จนอยากวิเคราะห์ว่าทำไมตัวเองชมงานชิ้นนั้นแล้วรู้สึกอย่างนั้น นั่นก็น่าจะทำให้เราเข้าใจตัวของตัวเองได้มากขึ้นด้วย
    และการตีความกลวิธีการเสพงานศิลปะที่ผมเล่ามา ก็เป็นวิธีคิดของผมเพียงลำพังคนเดียวเช่นกัน ไม่น่าจะถูกหรือผิด ผมเพียงรู้ว่าผมคิดอย่างนี้มาจากประสบการณ์ ความทรงจำ และจินตนาการของผมนี่ล่ะ
    ในชีวิตการเป็นคนทำหนังสือ ครั้งหนึ่งผมเคยทำหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งที่รวบรวมนิยามคำว่า ‘ศิลปะ’ จากคนหลากหลายเอาไว้ครับ ปรากฏว่าบางคนให้คำนิยามแบบเฉพาะเจาะจง บางคนให้นิยามแบบนามธรรม บางคนนิยามแบบตลกขบขัน ที่น่าสนใจก็คือไม่มีใครให้นิยามคำว่า ‘ศิลปะ’ ได้เหมือนกันเลย ต่างคนต่างก็มีความหมายไว้อธิบายคำคำนี้เป็นของตัวเองทั้งสิ้น
    สำหรับผม, ผมคิดว่า ‘ศิลปะ’ คงคล้ายๆ กับคำว่า ‘ชีวิต’ และคล้ายๆ กับ ‘ความรัก’ ตรงที่เราอธิบายมันไม่ได้ชัดเจน ไม่อาจเข้าใจมันได้ด้วยนิยามสากลที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน
    แต่ถ้าชีวิตคือการค้นหา ผมก็คิดว่าทุกคนควรมีนิยามของตัวเองสำหรับถ้อยคำเหล่านี้นะครับ

ตีพิมพ์ครั้งแรก กรุงเทพธุรกิจ 29 สิงหาคม 2551

* * * * * * * * * *

    อ่านมาถึงตรงนี้ก็ต้องโปรโมตปิดท้ายกันว่า ถ้าสนใจคอลัมน์นี้คงต้องไปตามอ่านกันในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เซ็กชั่นจุดประกาย ทุกๆ วันศุกร์ต้นเดือนนะครับ
    แล้วเจอกันใหม่เร็วๆ นี้ครับผม

หายจากการอัพบล็อกไปนาน จนผมชักรู้สึกละอายที่จะอัพอีกครั้ง…
    ขึ้นต้นด้วยข้ออ้างเหมือนเดิมเลยครับ แต่ตราบใดที่ยังมีเสียงเรียกร้อง ถึงจะทิ้งร้างไปนานแค่ไหน ก็ยังมีวันที่ผมจะได้กลับมาอัพบล็อกนี้อีกทีจนได้
    ช่วงที่ผ่านมางานผมยุ่งมากๆ เลยครับ เอาแค่ happening ที่ต้องฝ่ากระแสธุรกิจอันดุเดือดก็หนักหนามากแล้ว ช่วงที่ผ่านมายังมีคอนเสิร์ตใหญ่ของเราร่วมกับค่ายเพลง No More Belts ด้วย ใครไม่ได้ไปชมก็น่าเสียดายมากฮะ เพราะมันเป็นงานที่น่ารักสุดๆ เลยล่ะ แล้วยังมีงานอื่นๆ ที่ผมไปรับทำไว้ด้วย อย่างเช่นหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คของพี่ป๊อป อารียา กับพี่นก นิสา ที่เป็นผู้กำกับ เด็กโต๋ และ ปักษ์ใต้บ้านเรา อันนี้ก็ใช้เวลาไปเยอะเหมือนกัน แต่เป็นหนังสืออีกเล่มที่ผมภูมิใจนะครับ ชื่อปกว่า ‘นางงามกับหัวหยิก’ คงจะได้ฤกษ์วางแผงในเดือนกค. นี้ล่ะ
    เอาล่ะครับ อย่างที่ประกาศไปแล้ว การอัพบล็อกคราวนี้ไม่มีอะไรยากเย็น ผมแค่จะเอาตอนที่สองของ ทำนองปริศนา มาให้อ่านกัน
    ขอเชิญรับชมและรับฟังครับ

 * * * * * * * * * *

 

ทำนองปริศนา ตอนที่ 2
   
ผู้คนเบียดเสียดยัดเยียด ควันบุหรี่ตลบอบอวล แสงไฟสีแดงเหลืองเขียววิ่งวนไปทั่วบริเวณ เสียงดนตรีก้องกระหึ่มสะเทือนตุบๆ จนรบกวนจังหวะเต้นของหัวใจ นักร้องหนุ่มผมยาวบนเวทีร้องตะโกนท่อนฮุกเพลงไทยยอดนิยมล่าสุด หลายคนรอบตัวผมตะโกนตามเหมือนโดนมนต์สะกด ดนตรีบรรเลงมาถึงท่อนโซโลท้ายเพลง มือกีตาร์หน้าหล่อก้าวออกมาข้างหน้า แล้วบรรจงกรีดสำเนียงบาดใจออกมาจากกีตาร์ไฟฟ้าที่สะท้อนแสงไฟอยู่วูบวาบ ริมฝีปากบางคล้ำแต่ได้รูปคาบบุหรี่หมิ่นเหม่ ถึงจังหวะหนึ่งที่มือซ้ายบดขยี้สายกีตาร์ลากโน้ตดนตรียาวเหยียด มือขวาก็ตวัดขึ้นมาจับบุหรี่ อัดเต็มแรงหนึ่งที แล้วก็พ่นควันเป็นรูปวงกลมบิดเบี้ยวออกมา มันละลายหายไปในแสงไฟสีแดงเหลืองเขียวอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับโน้ตดนตรีตัวสุดท้ายที่ค่อยๆ จางหายไป
    นี่แหละ ลีลาท่าหากินของไอ้ชาลี – เพื่อนเก่าแก่ของผมเอง
    หลังจากโชว์ประจำคืนจบลง ดนตรีชิลล์เอาต์ถูกเปิดเพื่อผ่อนอารมณ์ ผู้คนค่อยๆ ทยอยเดินกลับไปสู่โลกภายนอก ไอ้ชาลีก็เดินลงจากเวทีมาหาผม มันตบบ่าแล้วพูดอะไรที่ผมได้ยินไม่ถนัดสองสามคำ
    ชาลีชอบชวนผมเที่ยวกลางคืนบ่อยๆ ผมไปบ้างไม่ไปบ้างแล้วแต่เวลาว่างจะอำนวย การไปเที่ยวกับมันมีหลายรูปแบบ อาจหมายถึงการที่ผมต้องไปยืนดูมันเล่นดนตรีกับวงอยู่นานสองนานในผับเสียงสนั่นควันโขมง อาจเป็นการไปนั่งคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ตามประสาเพื่อนเก่าอยู่ในร้านกาแฟเงียบๆ ที่เปิดจนดึกดื่น หรืออาจเป็นได้กระทั่งการไปเดินเล่นตามย่านต่างๆ ยามค่ำคืนของเมืองหลวงโดยไม่ต้องคุยอะไรกันมากมาย
    คืนนี้การเที่ยวกลางคืนที่ไอ้ชาลีชักชวนผมมาใช้รูปแบบแรก …ผมยืนดูมันเล่นดนตรีตั้งแต่ต้นจนจบ คืนนี้มันไม่ได้เล่นเพลงใหม่ๆ ให้ผมได้ตื่นเต้นเลยแฮะ
    “เฮ้ย ตกลงมึงฟังเพลงแจ๊สไปถึงไหนแล้ววะ” ไอ้ชาลีตะโกนถามใกล้หูผม กลิ่นบุหรี่ผสมกลิ่นเหล้าแตะจมูกจางๆ
    “มึงรู้อะไรเรื่องดนตรีแจ๊สบ้าง” ผมตะโกนตอบคำถามด้วยคำถาม
    “แจ๊สเหรอ อืมม” มันขมวดคิ้วทำเป็นคิด แลดูกวนตีนมาก ก่อนจะปั้นเสียงเข้มๆ “แจ๊ส – ดนตรีที่เกิดในรัฐนิวออลีนส์ อเมริกา ดินแดนแห่งเสรีภาพ ก่อกำเนิดท่ามกลางหมู่คนผิวดำผู้ยากไร้ กลายพันธุ์มาจากสำเนียงโศกเศร้าของเพลงบลูส์…”
    “หน้าอย่างมึงฟังแจ๊สด้วยเหรอวะ? ” ผมนึกขำท่าทีขึงขังของมัน
    “เฮ้ย หน้าอย่างกูนี่แหละ…” มันขมวดคิ้วทำเป็นคิดอีก ผมเริ่มสงสัยว่าที่มันนึกอะไรเชื่องช้านี่อาจเป็นเพราะเมามากกว่าพยายามจะกวนตีน “หน้าอย่างกู…ไม่ค่อยได้ฟังแจ๊ซหรอกว่ะ” ชาลีหัวเราะพรืด “เล่นดนตรีในผับแบบนี้ก็ต้องฟังแต่เพลงฮิตทั่วไปไว้ก่อนแหละ เพลงไหนมาแรงในวิทยุก็ต้องรีบแกะมาเล่นให้ทันสถานการณ์ แต่ว่ามีนักดนตรีรุ่นพี่ๆ กูสองสามคนที่แต่ก่อนเขาเล่นร็อกเล่นป๊อป แล้วตอนหลังหันมาสนใจแจ๊สนะ สักปีกว่าๆ ที่ผ่านมากูก็เลยหาเพลงแจ๊สมาฟังไว้บ้างวะ เผื่ออีกหน่อยต้องไปเล่นกับพวกพี่ๆ เขาไง แล้วเออ ไม่รู้เป็นไง ช่วงหลังๆ นี่ดนตรีชิลล์ๆ แบบสมูธแจ๊สหรือบอสซาโนวาอะไรนี่มันมาแรงเหลือเกินโว้ย กูก็ว่าจะหันไปเล่นแนวนั้นอยู่เหมือนกันว่ะ”
    ผมนึกถึงท่วงทำนอง A Love Supreme ที่ยังก้องอยู่ในหัว …ตึ่ง ตึง ตึ่ง ตึ๊ง… กับเสียงแซ็กโซโฟนฉวัดเฉวียน เพลงแบบนี้มันไม่น่าจะเรียกได้ว่า ‘ชิลล์ๆ ’ นะ
    “แล้วมึงรู้จัก จอห์น โคลเทรน ไหมวะ? มีใครก็ไม่รู้เอาอัลบั้ม A Love Supreme มาใส่ไว้ที่ตู้จดหมายที่คอนโดฯ กู ไม่รู้คิดอะไร”
    “ไอ้อัลบั้มที่มึงถามกูเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะเหรอ …ถูกส่งมาจากบุคคลผู้ไม่ประสงค์จะออกนามงั้นเรอะ” มันขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีก รอยย่นบนหน้าผากดูมากมายเกินอายุจริง “สงสัยมีคนไม่หวังดีกับมึงว่ะ ฮ่าๆๆ ” ชาลีหัวเราะดังลั่น จนแขกสามสี่โต๊ะที่ยังนั่งเอ้อระเหยอยู่ในผับหันมามอง
    ดนตรีชิลล์เอาต์ถูกปิดลงอย่างฉับพลัน ความเงียบคล้ายคำประกาศอย่างเป็นทางการว่าผับจะปิดจริงๆ แล้ว
    ผมรู้สึกมึนงง ความเห็นของชาลีช่างต่างจากความคิดของน้องตัวเล็กราวฟ้ากับเหว

———————–

    เมื่อวานผมก็เพิ่งเล่าเรื่องนี้ให้น้องตัวเล็กฟัง
    “หนูว่าต้องมีคนแอบชอบพี่แน่ๆ เลยล่ะ” เธอยิ้มกว้าง ดวงตาระยิบระยับ
    น้องตัวเล็กเป็นเลขาฯ ประจำฝ่ายขาย เราสนิทกันพอสมควรตามประสาผู้ร่วมงานที่เห็นกันทุกวัน การมีหญิงสาวตัวเล็กๆ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสมาอยู่ในฝ่ายขายถือเป็นการผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียด เซลล์บางคนชอบเอาอารมณ์เสียมาลงที่คนเบื้องหลังในยามที่ยอดขายไม่เข้าเป้า โยนงานเอกสารอันแสนวุ่นวายให้ทำบ้าง หรือไม่ก็มานั่งนินทาลูกค้าให้ฟังบ้าง น้องตัวเล็กจะมองเห็นเป็นเรื่องสนุกทุกคราวไป
    ผมคิดว่าการมองโลกในแง่ดีและมีรอยยิ้มให้กับทุกเรื่องน่าจะเป็นคุณสมบัติของนักขายที่ดีประการหนึ่ง ดังนั้นผมเลยชอบยุให้น้องตัวเล็กลองทำงานเซลล์ดูบ้าง เด็กที่เพิ่งจะเรียนจบอย่างเธออาจจะพอใจกับการเริ่มต้นตรงนี้แล้ว แต่วันข้างหน้าเธอก็ต้องก้าวไป เธอจะทนรับเงินเดือนเลขาฯ เดือนละไม่ถึงหมื่นไปได้สักแค่ไหนกัน
    ทุกทีที่คุยกันเรื่องนี้ ตัวเล็กจะหัวเราะแล้วบอกผมว่า “หนูอยู่อย่างนี้ก็ดีแล้วค่ะ”
    ส่วนใหญ่บทสนทนาของผมกับน้องตัวเล็กจะเน้นไปทางเฮฮา ผมไม่ค่อยมีเรื่องมาบ่นให้เธอฟังสักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าผมมีความสุขกับงานขายล้นเหลือจนไม่มีเรื่องมาบ่น แต่เวลาเห็นน้องตัวเล็กนั่งยิ้มแย้มอยู่ท่ามกลางหมู่เซลล์อารมณ์บูดแล้ว ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลทุกที
    ผมเล่าเรื่องซีดีปริศนาตอนที่ไปฝากเธอเคลียร์ค่าโทรศัพท์มือถือ เธอจินตนาการเรื่องราวเป็นตุเป็นตะ ว่ามันจะต้องเป็นเพลงสุดโรแมนติกที่ผู้ส่งมีความหมายในบทเพลงซ่อนไว้ให้ผู้รับตีความ ตามหาความในใจ
    “มันไม่ใช่เพลงหวานแหววอย่างที่เธอคิดหรอกน่า” ผมแกล้งพูดเสียงดุๆ พยายามทำลายภาพฝันของเลขาฯ สาว ไม่ใช่ว่าอยากให้เธอเข้าใจความจริงนักหรอก แค่รู้สึกหมั่นไส้แกมเอ็นดูกับแววตาเป็นประกายนี่ต่างหาก แล้วผมก็เริ่มเขินๆ เพราะเหลือบไปเจอสายตาสอดรู้สอดเห็นของเซลล์คนอื่นที่เริ่มสนใจว่าผมกับเธอกำลังคุยอะไรกัน
    “เออพี่” น้องตัวเล็กสะกิดเรียกผมเบาๆ “เมื่อเช้ามีคนจากธนาคารโทรมาที่ออฟฟิศค่ะ เขาฝากให้บอกว่าพี่ยังไม่ได้จ่ายค่าคอนโดฯ เลยนะเดือนนี้”
    เออ ตายล่ะหว่า ผมลืมเรื่องนี้ไปสนิท ช่วงที่ผ่านมามัวแต่ยุ่งๆ กับการหว่านล้อมให้คุณบัญชาซื้อคอนโดฯ ของบริษัทจนลืมจ่ายเงินผ่อนคอนโดฯ ตัวเองไปซะได้
    ชีวิตผมวุ่นเกินไปแล้ว สงสัยต้องหาเวลาผ่อนคลายบ้าง
    ตอนนั้นเองที่ผมนึกถึงไอ้ชาลีกับถ้อยคำสารพัดที่มันใช้ชักชวนให้ผมออกมาเที่ยวกับมัน

———————–

    ผมต้องผ่อนคอนโดฯ เป็นเวลา 30 ปี
    ตอนนี้ผมจ่ายเงินต่อเนื่องทุกเดือนมาแล้วปีกว่าๆ ดั้งนั้นก็เหลืออีก 28 ปีเศษๆ
    การต้องผ่อนอะไรที่ยาวนานอย่างนี้ให้ความรู้สึกสองประการ คือบางครั้งผมรู้สึกเหมือนเห็นภาพอนาคตอยู่ลางๆ ชีวิตมีกำหนดการแน่ชัดไปอีกยาวนาน และบางทีผมก็รู้สึกเหมือนกำลังแบกสัมภาระที่มองไม่เห็น แต่มีน้ำหนักของมันกดทับอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผมคิดว่าการมีสัมภาระบ้างก็น่าจะเป็นเรื่องดี มันทำให้ก้าวย่างมั่นคงขึ้น
    การมีชีวิตที่มั่นคง คาดเดาได้ ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย ผมไม่ค่อยชอบเรื่องเซอร์ไพรซ์เท่าไหร่
    ผมจึงหงุดหงิดกับเรื่องซีดีปริศนานี้ไม่น้อย มันมีโอกาสเป็นไปได้มากเหมือนกันที่จะเป็นการเข้าใจผิด อาจเป็นการวางผิดช่อง หรือไม่ก็มีใครลืมเอาไว้ แต่ก็มีโอกาสอยู่เหมือนกันที่จะมีคนตั้งใจวางไว้ให้ผม อาจจะมีใครพยายามสื่อสารอะไรบางอย่างกับผมก็เป็นได้
    หลายวันผ่านไป ผมใช้ชีวิตไปตามปกติ นั่งรถไฟฟ้าไปออฟฟิศ ติดต่อพูดคุยกับลูกค้าเก่าใหม่ พูดจาตลกโปกฮากับเพื่อนร่วมงาน แต่เรื่องนี้ยังคงค้างคาอยู่ในใจ เหมือนนาฬิกาปลุกที่ถูกใครแอบตั้งไว้เนิ่นนาน แต่ยังไม่ส่งสัญญาณปลุกเสียที
เมื่อกลับถึงห้อง บางคืนผมจะหยิบซีดี A Love Supreme มาฟังบ้าง ฟังไปเรื่อยๆ เวลาฟังผ่านๆ ก็ไม่รู้สึกว่ามันฟังยากเย็นอะไร ผมเริ่มนอนหลับโดยมีเพลงแจ๊สเร่าร้อนของ จอห์น โคลเทรน เป็นดนตรีกล่อมนิทรา
    จนผมเกือบจะลืมไปแล้วว่าซีดีแผ่นนี้มันมาอยู่กับผมได้อย่างไร ความสงสัยดูเหมือนกำลังจะจางลง รถไฟฟ้า ลูกค้า และเรื่องตลกโปกฮากำลังจะทำให้ผมวุ่นวายกับชีวิตต่อไป เจ้าเสียงนาฬิกาปลุกก็ดันร้องลั่นขึ้น มันดังสนั่นจนผมสะดุ้งตื่นเต็มตาเมื่อกลับมาที่คอนโดฯ ในคืนหนึ่ง
    มีซองกระดาษสีน้ำตาลอีกซองในช่องรับจดหมายของผม!
    เหลียวซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร แม้แต่ รปภ. ประจำคอนโดฯ ก็ไม่รู้หายไปไหน ผมค่อยๆ หยิบซองกระดาษขึ้นมาพิจารณา
ไม่ผิดแน่นอน มีซีดีอีกชุดอยู่ในนี้
    ผมแกะซองออกดู ในซองมีอัลบั้มเพลงสีเหลืองน้ำตาล หน้าปกเขียนชื่อศิลปินว่า Miles Davis และบอกชื่ออัลบั้มว่า Miles Ahead
    เมื่อขึ้นมาถึงห้อง ผมก็รีบยัดซีดีใส่เครื่องเล่นทันที ความรู้สึกคล้ายกับได้รับจดหมายลึกลับ ในจดหมายฉบับนี้จะมีถ้อยความใดส่งถึงผมกันแน่?
    เสียงเครื่องเป่าสดใสโซโลกังวานสบายหู น่าจะเป็นเสียงทรัมเป็ต สอดสลับด้วยเครื่องเป่าวงใหญ่ที่เหมือนเป็นลูกคู่ แต่บางทีก็ชิงความโดดเด่นคล้ายเป็นคู่ต่อสู้ เบสกับกลองรองพื้นให้จังหวะเพียงบางเบา ราวกับผู้ชมที่คอยปรบมือเชียร์อยู่เบื้องหลัง ผมเคยได้ยินชื่อ ไมลส์ เดวิส ผ่านหูมาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ฟังดนตรีของเขาจริงจัง
    พลิกปกอัลบั้มอ่านข้อมูลไปเรื่อยๆ ผมก็พบว่าเครื่องเป่าที่ ไมลส์ เดวิส เป่าเป็นเครื่องดนตรีที่เรียกว่า ‘ฟลุกเกิลฮอร์น’ แฮะ ไม่ใช่ทรัมเป็ตอย่างที่เดาทีแรก งานชุดนี้บันทึกเสียงในปี ค.ศ. 1957 …ก่อนอัลบั้ม A Love Supreme ตั้งหลายปีแต่ฟังง่ายกว่ากันเยอะ
    ผมรู้ว่าดนตรีแบบนี้ก็เรียกว่าแจ๊สเหมือนกัน ทั้งๆ ที่มันต่างกัน
    และไอ้ดนตรีชิลล์ๆ แบบเสียงแซ็กโซโฟนหวานๆ เปียโนเบาๆ เสียงร้องสวยๆ ที่ผมจินตนาการไว้ในตอนแรกที่ได้อัลบั้ม  A Love Supreme มานั่นก็เห็นว่าเขาเรียกแจ๊สเหมือนกัน เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้ต่างกันอย่างนี้
    บทเพลงยังดำเนินต่อไป ทุกเพลงมีรูปแบบใกล้เคียงกันหมด คือราวกับบทสนทนาของฟลุกเกิลฮอร์นกับทีมเครื่องเป่าวงใหญ่ บางครั้งคุยเรื่องสนุกสนาน บางครั้งคุยเรื่องโรแมนติก รวมๆ แล้วทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย ผมเริ่มปลดเน็คไท ถอดรองเท้าถุงเท้า ถอดเข็มขัด แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง ล่องลอยไปตามเสียงดนตรี
    พลิกปกอัลบั้มขึ้นดูอีกที ชื่อเพลงให้ความรู้สึกหลากหลาย สอดรับไปกับอารมณ์ดนตรีของเพลงนั้นๆ อย่างเพลงแรก Springsville ให้ความรู้สึกเบิกบาน ในขณะที่ My Ship นั้นเครื่องเป่ากลุ่มใหญ่ช่วยกันโอบอุ้มทำนองหลักของฟลุกเกิลฮอร์น ดูช่างเวิ้งว้างและเดียวดาย คล้ายอยู่บนเรือลำเล็กๆ กลางทะเลสีส้มสะท้อนแสงแดดยามเย็น ส่วน Blues for Pablo กับ The Meaning of Blues นั้นเศร้าสร้อยงดงามจนน้ำตาซึม และ I Don’t Wanna Be Kissed (By Anyone But You) ก็ให้อารมณ์ซุกซน เหมือนแอบชมการเกี้ยวพาราสีระหว่างเครื่องเป่าหลากชนิด
    นั่งฟังไปเรื่อยๆ ผมก็พบว่าอัลบั้มนี้มีเพลงแถมให้ด้วยแฮะ เป็นเพลง Springsville, Blues for Pablo, The Meaning of Blues/Lament และ I Don’t Wanna Be Kissed (By Anyone But You) ซึ่งเข้าใจว่าบางเพลงก็เป็นการอัดตอนซักซ้อม และบางเพลงก็เป็นเทคที่อัดไว้แต่ไม่ได้ใช้ …แสดงว่าก่อนจะบันทึกเสียงก็ต้องมีการซักซ้อมกันไม่น้อย แต่พอผมกดฟังเปรียบเทียบระหว่างเทคที่ใช้จริงกับเทคที่เป็นเพลงแถม …อืม มันก็ต่างกันอยู่เหมือนกันนา
    ผมชอบชื่ออัลบั้ม Miles Ahead จังแฮะ มันเข้ากับตัวศิลปินดีแท้ และถ้าแปลความหมายซื่อๆ ก็คือหนทางยังอีกยาวไกล แต่ถ้าตีความหมายโดยให้คำว่า Miles หมายถึงชื่อของ ไมลส์ เดวิส ล่ะก็ มันก็คงได้อารมณ์ประมาณว่า คอยจับตาให้ดีเถอะ ไอ้ไมลส์มันอยู่ข้างหน้านี่แล้ว!
    ด้วยอารมณ์ผ่อนคลายสบายใจของเสียงเครื่องเป่าที่ไม่ได้เร่งร้อนในอัลบั้มนี้ ไม่ว่าจะตีความหมายแบบไหนก็ดูจะไม่เป็นปัญหา ถึงระยะทางจะอีกยาวไกลแต่การเดินทางก็คงรื่นรมย์ หรือถึง ไมลส์ เดวิส จะรออยู่ข้างหน้า แต่ผมก็ควรปลื้มใจมากกว่าจะต้องระมัดระวังตัว
    หรือสิ่งที่ผู้ส่งซีดีปริศนาต้องการจะบอกผมก็คือเรื่องเหล่านี้ …ระยะทางยังอีกไกล แต่ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกน่า
หรือว่าเขาเพียงต้องการจะบอกให้รู้ว่าดนตรีแจ๊สไม่ได้ฟังแล้วจะนอนไม่หลับเสมอไป เหมือนอย่างอัลบั้มแรกที่เขาส่งมาให้
หรือว่า…ผมจะคิดมากไปแล้ว
    มวลเครื่องเป่าอันอบอุ่นค่อยๆ พาผมล่องลอยไปแสนไกล ทิ้งห่างจากปริศนาทั้งปวง ลืมเลือนเรื่องราวในชีวิตอันวุ่นวาย ทั้งรถไฟฟ้า ลูกค้า บทสนทนาตลกขบขัน ห้องประชุมอันเคร่งเครียด หรือแม้แต่ความฝันในอดีตและความปรารถนาในอนาคต
    ดวงไฟกลางห้องยังส่องสว่าง แต่ผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้.

 * * * * * * * * * *

    อ่านกันแล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ ถ้าเบื่อแล้วบอกกันได้ คราวหน้าจะได้เขียนเรื่องอื่น แต่ผมยังมีตอนที่ 3 เก็บไว้ด้วยนา
    มาถึงช่วงนี้ผมฟังเพลงแจ๊ซน้อยลงแล้วครับ เพราะว่าหน้าที่การงานไม่ค่อยเปิดโอกาสและมีเวลาให้ฟังเพลงแนวนั้นเยอะๆ แต่ต้องเขียนวิจารณ์เพลงร่วมสมัยมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังๆ นี่ผมก็ยังไปเจองานแจ๊ซเพราะๆ อยู่บ้าง ที่อยากจะแนะนำก็คืองานใหม่ของ pat Metheny ชื่อชุด Day Trip นะครับ ชุดนี้มีบันทึกการแสดงสดตามออกมาด้วยชื่อ Tokyo Day Trip ครับ เพลงดีมาก ฟังเพลินๆ ก็ได้ ฟังเอาจริงก็ได้
    มีความสุขกับการอ่านและการฟังนะครับ และหวังว่าคราวหน้าผมคงจะอัพบล็อกเร็วกว่านี้ แหะๆ…

ทำนองปริศนา

เมษายน 2, 2008

หายจากการอัพบล็อกไปนาน จนผมชักรู้สึกละอายที่จะอัพอีกครั้ง และก็รอคอยอีกพักใหญ่ จนความละอายมันละลายหายไปเอง คงเหลือแต่คำสัญญาที่ให้ไว้กับน้องแสนสนิทคนเดิม ว่าจะอัพบล็อกพร้อมกันอีก (ซึ่งเธอกับอัพล่วงหน้าไปนานแล้ว) ว่าแล้ววันนี้มีเวลาว่างนิดหน่อย ก็เลยแอบมาอัพบล็อกดูสักที
    โจทย์ที่เรานัดอัพพร้อมกัน คราวนี้ผมเป็นคนตั้งเองครับ (หน้าไม่อาย เป็นคนกำหนดโจทย์ แต่มาอัพทีหลังตั้งนาน) ผมกำหนดไว้ว่าเป็นเรื่อง ‘แจ๊ซ’ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าตอนที่คุยกันนั้นผมกำลังฟังเพลงแจ๊ซอยู่พอดี แล้วนึกๆ ไปก็น่าจะสนุกดีนะ เพราะไอ้คำว่าแจ๊ซนี่มันฟังดูมีอิสระดีจริงๆ
    แต่ด้วยการงานที่รัดตัวมากๆ (เอาล่ะ เริ่มเข้าโหมดแก้ตัวอีกครั้ง) ผมก็ไม่ทันได้นึกเสียทีว่าจะเขียนบล็อกครั้งนี้ออกมาเป็นอย่างไร ผ่านมาเป็นเดือน ในที่สุดวันนี้ผมก็นึกออกครับ คือไม่ได้นึกออกว่าจะเขียนอะไร แต่นึกออกว่าจะเอาอะไรมาลงน่ะ …แหะๆ
    ปลายปี 2549 มีนิตยสารเพลงแจ๊ซเล่มหนึ่งชื่อ Kool Jazz ทำการเปิดตัวครับ ทีมงานขอให้ผมเขียนคอลัมน์ให้ด้วย ตอนนั้นผมเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มหัดฟังเพลงแจ๊ซใหม่ๆ และกำลังสนใจอย่างจริงจังเลยทีเดียว แล้วด้วยความสนใจและความสดใหม่ ผสมกับความว่างๆ (ตอนนั้นยังไม่เริ่มทำ happening) ผมก็เลยคิดคอลัมน์มาเป็น ‘นิยาย’ เลยล่ะครับ (ห้าวไหมล่ะ) โดยกำหนดโครงเรื่องคร่าวๆ ว่าเป็นเรื่องของชายหนุ่มบ้างานคนหนึ่ง ที่ทุกๆ เดือนเขาจะได้รับอัลบั้มแจ๊สปริศนามาให้ลองฟัง โดยไม่ทราบผู้ส่ง โดยไม่มีความรู้เรื่องแจ๊ซ ทำให้เขาต้องค้นหาตัวตนและจุดประสงค์ของผู้ส่งลึกลับ ไปพร้อมๆ กับทำความรู้จักกับดนตรีแจ๊ซไปด้วยพร้อมๆ กัน ผมตั้งชื่อเรื่องว่า ‘ทำนองปริศนา’ ครับ
    และนี่คือตอนแรกของ ทำนองปริศนา…

 * * * * * * * * * *

alovesupreme.jpg

ทำนองปริศนา
    ซองกระดาษสีน้ำตาลธรรมดาสามัญ ถูกใครสักคนวางไว้ในช่องรับเอกสารประจำห้องของผมที่โถงล็อบบี้ในคอนโดฯ มันนอนนิ่งเหมือนรอคอยการกลับมาของผมอยู่หลายชั่วโมงแล้ว แน่นิ่งสงบเสงี่ยม ไม่ตั้งใจจะเรียกร้องความสนใจใดๆ
    แต่มันเรียกร้องความสนใจจากผมได้อย่างรุนแรง เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องปกติสามัญเลย
    ไม่เคยมีใครส่งอะไรมาให้ผมที่คอนโดฯ มาก่อน แม้แต่บิลล์ค่ามือถือหรือเครดิตการ์ด ผมก็ให้ส่งไปที่ออฟฟิศทั้งหมด เจ้าซองกระดาษธรรมดาสามัญนี้จึงเป็นซองแรกที่ได้มานอนสงบอยู่ในช่องของผมในตู้นี้ตั้งแต่ผมอยู่ที่นี่มาสี่ห้าเดือนได้
    ใครล้อเล่นหรือเปล่าวะ? ก็ผมไม่เคยให้ที่อยู่นี้กับใครนี่นา ไม่ใช่เพราะอยากให้เป็นความลับอะไรหรอก แต่ผมอยากให้ห้องที่คอนโดฯ ของผมหลุดพ้นจากเรื่องต่างๆ ของโลกภายนอก ไม่มีเรื่องงานให้ต้องคิด ไม่ต้องติดต่อสื่อสารกับคนอื่นๆ ทุกวันนี้ผมมีเวลาเป็นของตัวเองไม่เยอะนัก กลับมาถึงห้องดึกดื่นก็ไม่อยากยุ่งกับใครอีกแล้ว
    รปภ. ประจำคอนโดฯ นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องออฟฟิศกลางล็อบบี้ ไม่สนใจเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นตรงตู้ใส่จดหมายข้างๆ ห้อง ผมตัดสินใจไม่ถามไถ่อะไรจากเขา เพราะคงไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี ผมเอื้อมมือไปหยิบซองกระดาษขึ้นมาดู ไม่มีการจ่าหน้าซองใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนจะมีสิ่งของอยู่ข้างใน จับๆ ดูก็เดาได้ว่าคงเป็นกล่องซีดี อาจจะเป็นแผ่นหนังหรือไม่ก็อัลบั้มเพลง ผมแกะซองออกดูทันที
    กล่องซีดีสีหม่นทึมหล่นสู่อุ้งมือผมอย่างง่ายดาย ดูจากปกที่เป็นภาพขาวดำของชายผิวสีหน้าตาเคร่งเครียดแล้วบ่งบอกว่าน่าจะเป็นอัลบั้มเพลง ด้านบนมีตัวอักษรอ่านได้ความว่า A Love Supreme / John Coltrane
    สงสัยเป็นพวกฮิปฮอปล่ะมั้ง…
    โทรศัพท์มือถือของผมสั่นเสียงลั่น ดังสะท้อนไปทั่วโถงล็อบบี้
    ผมรีบยัดซีดีคืนใส่ซองกระดาษ หยิบมือถือขึ้นมาดู …ชื่อที่โชว์อยู่คือชื่อของหัวหน้า – ผู้อำนวยการฝ่ายขาย
    “สวัสดีครับ…” ผมปั้นเสียงสุภาพรับสาย
    “ไปเลี้ยงลูกค้าเป็นไงบ้าง” หัวหน้าถามเสียงเข้ม
    “ดีครับพี่ คุณบัญชาแกเซ็นใบจองแล้ว ต้องเกลี้ยกล่อมอยู่นาน เหล้าเกือบหมดกลมแน่ะกว่าจะยอมเซ็น”  
    “ดี” ถึงเป็นคำชม แต่เสียงยังเข้มอยู่ “แล้วพรุ่งนี้อย่าลืมนะ มีประชุมฝ่ายขายตอน 9 โมงเช้า”
ผมรับปากมั่นเหมาะว่าตื่นไปทันประชุมแน่นอน ในใจนึกลิงโลดที่พรุ่งนี้มียอดขายไปอวดเพื่อนร่วมแผนก แต่พอหัวหน้าวางสายไปแล้ว ผมกลับนึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย …ดึกดื่นขนาดนี้ยังโทรมาตามงานกันอีกนะ
    ยังไม่ทันจะกดลิฟต์ขึ้นห้อง โทรศัพท์มือถือที่ถืออยู่ในมือก็ดังขึ้นอีก คราวนี้เป็นเพื่อนเก่าชื่อไอ้ชาลีโทรมา
    “เฮ้ย! ยังทำงานอยู่ออฟฟิศป่าววะ? มาดูกูเล่นไหม กูมีเล่นเปิดผับใหม่ตอนเที่ยงคืน ใกล้ออฟฟิศมึงเลยหนา…” เพื่อนเก่าพูดอ้อแอ้มาตามสาย เสียงบรรยากาศทางโน้นอื้ออึง นี่สงสัยมันจะเมาก่อนเล่นดนตรีอีกแล้วสิ …ไอ้หมอนี่เคยหัดเล่นกีตาร์มาพร้อมๆ กับผมตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่ม พอโตขึ้นมันก็ยังเล่นดนตรีอยู่ เล่นจนกลายเป็นอาชีพไปเลย ส่วนผมน่ะเลิกเล่นมานานแล้ว ประสบการณ์ใกล้เคียงการเล่นดนตรีที่สุดในช่วงนี้คือการไปร้องคาราโอเกะกับลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงานเดือนละครั้งสองครั้ง
    “เฮ้ย ไม่ได้ๆ กูกลับถึงบ้านแล้ว พรุ่งนี้ประชุมตอนเช้าด้วย ไว้วันหลังนะ” ในใจผมใคร่ครวญคำถามของมัน …ถึงผมจะอยู่บ้านแล้ว แต่ก็พอจะบอกได้เหมือนกันว่าผมยังทำงานอยู่ เพราะเมื่อกี๊เพิ่งวางสายจากเจ้านายไปหยกๆ
    “อะไรว้า ไม่เคยมีเวลาให้เพื่อนฝูงเลยหนาโว้ย ไอ้สาด” ไอ้ชาลียังลากเสียงอ้อแอ้อยู่ไม่วาย
    “เออๆๆ กูมีอะไรจะถามมึงพอดี” ผมแวบนึกถึงซีดีปริศนาขึ้นมาได้ “มึงรู้จักอัลบั้มนี้ไหม? …อะ เลิฟ สุพรีม ของ จอห์น โคลเทรน”
    มันเงียบไป แต่เสียงบรรยากาศอื้ออึงยังก้องอยู่ในหูผม
    “ไอ้เวร เดี๋ยวนี้ริฟังแจ๊สแล้วเหรอมึง” ชาลีหัวเราะดังลั่น “มัวแต่ฟังเพลงคนเดียวเหงาๆ อยู่ได้ ไม่ออกมาเจอผู้คนบ้างเล้ย ว่างๆ มึงแวะมาดูกูเล่นดีกว่ามั้ง ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้วนะเว้ย… เฮ้ยๆๆ กูวางสายก่อน พอดีหญิงโทรมาว่ะ“ เพื่อนเก่าแก่พ่นคำอ้อแอ้ออกมาแค่นี้ แล้วผมก็ยินเสียงสัญญาณว่างเปล่าดังตื้ดๆ ตื้ดๆ
    เหลือบไปมองดู รปภ. คนเดิมที่ยังก้มหน้าอ่านหนังสือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กำแพงแห่งโลกส่วนตัวของเขาช่างแข็งแกร่งจริงๆ
    ไม่เหมือนผมที่อุตส่าห์ซื้อคอนโดฯ ห้องเดี่ยวอยู่สูงถึงชั้น 20 จากระดับพื้นผิวของเมืองกรุงเทพฯ แต่ดูคล้ายใครๆ ก็บุกรุกเข้ามาในโลกส่วนตัวของผมได้ทุกเมื่อ
    …ไม่ว่าจะเป็นเวลาดึกดื่นแค่ไหน

———————–

    เครื่องปรับอากาศเริ่มทำงาน ไฟในห้องสว่างไสว ผมกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความภูมิใจ ห้องเดี่ยวเรียบหรูแบบโมเดิร์นราคาสองล้านสามแสนบาทห้องนี้คือหลักฐานยืนยันความสำเร็จในการงานของผม สำหรับผู้ชายวัยยังไม่ถึงสามสิบเต็ม การที่สามารถหาเงินมาผ่อนห้องแบบนี้ได้ทุกเดือนก็นับว่าไม่เลวนักหรอก
    ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่กลับมาถึงห้องของตัวเอง ไม่ว่าจะเหนื่อยมาขนาดไหน
    แต่วันนี้ผมเหนื่อยจริงๆ แล้วก็มึนหน่อยๆ ด้วย คุณบัญชาเป็นลูกค้าที่รับมือยากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยเจอ ทั้งที่เราสองฝ่ายต่างก็รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรการเซ็นสัญญาซื้อห้องชุดที่ผมเป็นเซลล์อยู่ก็ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ แต่เขาเล่นตัวอยู่นานสองนาน ให้ผมเลี้ยงข้าวเลี้ยงเหล้าครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะยอมขยับมือเซ็นแค่ใบจอง …นี่คงต้องเจอกันอีกหลายยกกว่าจะเก็บเงินครบทุกบาททุกสตางค์
    ผมล้มตัวลงบนเตียง คืนนี้ขอนอนมันทั้งอย่างนี้ล่ะวะ มือซ้ายเอื้อมมือไปตั้งนาฬิกาปลุก ส่วนมือขวา…ซองกระดาษปริศนานั่นยังอยู่ในมือขวาผมอยู่เลย
    เพลงแจ๊สเหรอ? เออ ดีเหมือนกัน ผมนึกถึงเปียโนเบาๆ แซ็กโซโฟนหวานๆ เสียงร้องเซ็กซี่ของสาวสวย …มันน่าจะกล่อมให้ผมหลับฝันดีได้ ผมชอบเพลงแจ๊สเพราะๆ บอซซาโนวาพลิ้วๆ ตามผับประเภทชิลล์เอาต์หรือร้านกาแฟเก๋ๆ ที่เคยนัดลูกค้าไปนั่งคุยงานอยู่แล้ว ถึงจะไม่เคยตั้งใจฟังอย่างจริงจังก็เถอะ
    ผมยัดแผ่นซีดีแปลกหน้าสีขาวขอบดำเข้าไปในเครื่องเสียงข้างเตียง กดปุ่มเพลย์ แล้วเอื้อมมือไปปิดไฟ ทั้งห้องมืดสนิทเหมือนเวลากำลังหยุดนิ่ง ดนตรีเริ่มต้นบรรเลง
    เสียงฆ้องดังผ่าง! …ตามมาด้วยแซ็กโซโฟนพลิ้วๆ เปียโนเบาๆ …อ่า เริ่มแล้วๆ
    เงียบไปอึดใจ ก่อนที่เบสจะส่งเสียงดัง ตึ่ง ตึง ตึ่ง ตึ๊ง ย้ำไปมา ผมผงกหัวตามน้อยๆ ตามจังหวะ แซ็กโซโฟนตามเข้ามา โอ้ ท่าทางจะชิลล์ไม่เบา ผมปล่อยตัวปลดใจไปตามบทเพลง เดี๋ยวคงมีเสียงร้องสวยๆ ของนักร้องสาวสักคนตามมาแน่ๆ แล้วผมคงจะร่วงผลอยลงสู่ห้วงนิทรารมณ์อย่างแสนสุข
    แต่แซ็กโซโฟนยังพลิ้วไหวไม่เลิกรา บางช่วงเร่งเร้าจนล่วงเกินความรู้สึกผ่อนคลาย
    เหมือนไม่ได้มาด้วยกัน คล้ายต่างคนต่างเล่น เบสยังคงย้ำ ตึ่ง ตึง ตึ่ง ตึ๊ง เนิบๆ ขณะที่แซ็กโซโฟนไล่ทำนองขึ้นลง ว่องไว กระชั้น ถี่ห่าง พลิ้วไปตามอารมณ์ผู้เล่น …เสียงนักร้องสาวสวยไม่มาสักที ผมเริ่มอึดอัด นี่มันเพลงอะไรกันวะ? ผมนึกก้องในใจท่ามกลางความมืด
    ฉับพลัน! แซ็กโซโฟนกลับมาเล่นเป็นเนื้อเดียวกับเสียงเบส ตึ่ง ตึง ตึ่ง ตึ๊ง เนิบช้า อีกอึกใจต่อมา เสียงร้องมาถึงจนได้ …แต่ดันเป็นเสียงต่ำทุ้มของมนุษย์เพศชาย บ่นพึมพัมไปตามท่วงทำนองเบส ท่องคำว่า “อะ เลิฟ สุพรีม” ซ้ำไปซ้ำมา
    อย่างกับสวดมนต์แน่ะ!
    ผมกำลังจะเอื้อมมือไปปิดเพลง แต่ท่วงทำนองก็แปรผันไปอีก แซ็กโซโฟนยังโดดเด่นอยู่ข้างหน้า แต่ผมเริ่มรู้สึกถึงเปียโนที่ไหลลื่นอยู่ข้างหลัง นั่นๆ เปียโนลอยมาอยู่ข้างหน้าแล้ว เหมือนอยู่ดีๆ ไอ้คนที่เป่าแซ็กอยู่ไหวๆ นั่นก็แวบออกจากวงไปเสียอย่างนั้น แล้วพักใหญ่ๆ มันก็กลับมา คราวนี้เร่งร้อนยิ่งกว่าเก่า! กลองที่เคยรองพื้นอยู่ข้างหลังพลันส่งเสริมการกลับมาของแซ็กโซโฟนให้ตื่นเต้นยิ่งขึ้น จนผมต้องนอนขมวดคิ้วอยู่ในความมืด กล้ามเนื้อรอบกายเขม็งเกร็ง
    จบแล้ว…นี่มันเพลงอะไรวะ? ผมถอนหายใจหนึ่งเฮือกใหญ่
    ยัง…ยังไม่หมด เพลงถัดไปเริ่มต้นแล้ว กลองตีหวดแหลกราญ ถี่ยิบ บ่งบอกว่าท่วงทำนองต่อไปนี้จะรุกเร้ายิ่งกว่าเดิมหลายเท่า โอ้! นอนไม่ได้แล้วโว้ย! ผมลุกขึ้นพรวดพราด เปิดไฟ และปิดเพลงทันที…
    กล่องซีดีสีดำที่ผมเพิ่งได้มาฟรีๆ นอนสงบอยู่ข้างเครื่องเสียงราคาหลายหมื่นบาท ผมหยิบมันขึ้นมาพิจารณา ใบหน้าด้านข้างของชายบนปกที่คงชื่อ จอห์น โคลเทรน ดูเคร่งขรึมจริงจัง ราวกับจะบอกว่างานชิ้นนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะโว้ย ผมน่าจะเอะใจตั้งแต่เห็นหน้าไอ้หมอนี่ทีแรกแล้ว พอพลิกหลังปกดูชื่อเพลง ปรากฏว่าผมฟังไปแล้ว 2 เพลง ความยาวร่วม 15 นาที ทั้งสองเพลงนั้นชื่อ Acknowledgement กับ Resolution
    ‘การยอมรับถึงการมีอยู่ของอะไรบางอย่าง’ กับ ‘การตกลงใจ’ อย่างนั้นเหรอ?
    ยอมรับอะไร? ตกลงใจทำอะไร? …แล้วเพลงแจ๊สอะไรทำไมมันช่างไม่ชิลล์ได้ขนาดนี้วะ? หรือจะมีคนส่งเพลงเหล่านี้มาเพื่อกลั่นแกล้งผม?
    ยังมีอีก 2 เพลงที่ผมไม่ได้ฟัง ชื่อว่า Pursuance กับ Psalm สองคำนี้มันแปลว่า  ‘การลงมือทำตามความตั้งใจ’ กับ… เออ ผมไม่รู้ความหมายของคำว่า Psalm แฮะ
    ข้อมูลหลังปกยังบอกอีกว่าอัลบั้มนี้บันทึกเสียงเมื่อปี ค.ศ. 1964
    40 ปีมาแล้ว! …ผมยังไม่ทันเกิดเลยด้วยซ้ำ 
    ใครทะลึ่งส่งอัลบั้มเพลงที่เก่าขนาดนี้มาให้ผมเนี่ย มันแปลว่าอะไรวะ? เพลงแบบนี้ไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องกับผมได้เลยแม้สักหนึ่งวินาทีของชีวิต สงสัยส่งผิดห้องแน่ๆ อาจจะเป็นของห้องข้างๆ คนส่งอาจจะวางผิดช่อง ผมควรจะเอาไปคืนผู้รับที่ถูกต้อง
    พรุ่งนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้เช้าผมค่อยไปถามห้องข้างๆ ผมวางกล่องซีดีลงที่เดิม เอื้อมมือปิดไฟ และไม่ได้เปิดเพลงอะไรฟังอีก จริงๆ แล้วผมมีซีดีของตัวเองอยู่ไม่กี่แผ่น แถมตอนนี้ไม่นึกอยากฟังเพลงอะไรอีก
    และคืนนี้ผมเหนื่อยมามากเกินไปแล้ว

———————–

    บรรยากาศในห้องประชุมตึงเครียด เดือนนี้เซลล์หลายคนขายอะไรไม่ได้เลย จริงๆ แล้วงานขายอสังหาริมทรัพย์แบบที่เราทำกันอยู่ก็มีโอกาสหงอยเหงาอยู่บ่อยๆ การขายบ้านสักหลังหรือคอนโดฯ สักห้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นักหรอก ยิ่งสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ถ้าเดือนหนึ่งมีคนเซ็นใบจองสักรายสองรายก็ควรจะยิ้มได้แล้ว
    เดือนนี้ผมรอดตัว ต้องขอบคุณคุณบัญชาสำหรับใบจองเมื่อคืน จะว่าไปผมก็เป็นเซลล์ที่ทำยอดขายไม่เลว แทบทุกเดือนผมขายห้องชุดได้บ้าง ปล่อยพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่าบ้าง บางเดือนก็โชคดีถึงขนาดขายบ้านเดี่ยวราคาสิบล้านได้ ไม่ว่าบริษัทของเราจะมีอะไรให้ขาย ผมก็ส่งต่อให้ลูกค้าได้อย่างไม่ยากเย็น
    แต่คนที่ทำยอดขายได้เหนือกว่าใครๆ เสมอมีอยู่คนเดียว – หัวหน้านั่นเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหัวหน้ามีตำแหน่งเป็นถึงผู้อำนวยการฝ่ายขาย ฝีไม้ลายมือและคอนเน็กชั่นที่สั่งสมจากประสบการณ์ร่วมยี่สิบปีในงานขายอสังหาริมทรัพย์ย่อมไม่ใช่ธรรมดา
    เหนือไปกว่านั้น ฝีมือการคุมทีมขายของหัวหน้ายังยอดเยี่ยมอีกด้วย เซลล์คนไหนขยัน หัวหน้าก็มีกลยุทธ์การขายมาสั่งสอนไม่รู้จบ ส่วนเซลล์ที่ขี้เกียจก็ไม่มีใครอู้งานได้ เพราะหัวหน้าจะรู้ทันเล่ห์ข้ออ้างไปเสียหมด หัวหน้าเป็นมนุษย์ทำงานที่จริงจังที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ ถึงขนาดที่อุทิศทั้งชีวิตจิตใจให้บริษัทก็ว่าได้
    การประชุมวันนี้หัวหน้าก็แสดงความจริงจังออกมาโดยการไล่ถามงานของเซลล์ทีละคนในเดือนที่ผ่านมา แล้วก็ไล่ด่าเรียงตัวทีละคน มีผมคนเดียวที่ไม่ถูกด่า
    ผมนั่งฟังคนอื่นโดนประณามไปเรื่อย นานเข้าสมาธิก็เตลิดเปิดเปิง นึกไปถึงเรื่องแปลกๆ เมื่อเช้าที่ผมไปเคาะประตูห้องข้างเคียงถามเรื่องซีดี ห้องทางขวาของผมเป็นหญิงสาวหน้าตาสะอาดสะอ้าน อายุสักยี่สิบห้าเห็นจะได้ ผมเคยเห็นเธอแวบๆ มาก่อนสามสี่ครั้ง แต่นี้เป็นครั้งแรกที่เราได้คุยกัน เธอบอกว่าไม่รู้จักอัลบั้มอะไรนี่หรอก แล้วก็หัวเราะขำให้กับคำถามแปลกๆ ที่ผมนำมาคุยแต่เช้า
    ห้องทางซ้ายมือไม่ยอมเปิดประตู แต่ผมรู้ว่ามีคนอยู่ เพราะเพิ่งเห็นหนุ่มใหญ่ท่าทางภูมิฐาน อายุสักสี่สิบ ย้ายเข้ามาอยู่เมื่อไม่กี่วันก่อน
    ตกลงผมว่าผมยังไม่สามารถไขปริศนาซีดีลึกลับนี้ได้ ก่อนออกมาทำงาน ผมลองเปิดฟังอีกรอบ แล้วก็ฟังไม่จบเหมือนเดิม
    เสียงหัวหน้าดุด่าเซลล์คนอื่นจางลงเหมือนโต๊ะประชุมถอยห่างไปไกลแสนไกล ห้องประชุมที่สว่างไสวคล้ายกำลังมืดลงช้าๆ
    ในหัวผมยังก้องไปด้วยเสียงนั้น ตึ่ง ตึง ตึ่ง ตึ๊ง…ตึ่ง ตึง ตึ่ง ตึ๊ง ราวกับเป็นท่วงทำนองของประโยคคำถามอะไรบางอย่าง
    ผมคงต้องขบคิดอย่างหนัก อย่าว่าแต่จะหาคำตอบเลย …แค่คำถามผมก็ไม่เข้าใจเสียแล้ว

* * * * * * * * * *

    การฟังเพลงแจ๊ซเป็นเหมือนการไปท่องเที่ยวในดินแดนที่เราไม่คุ้นเคยครับ บางทีก็ได้อารมณ์ไม่คุ้นชิน ฟังภาษาที่เขาพูดไม่เข้าใจ แต่การรู้จักเปลี่ยนทิวทัศน์รอบกาย ได้ลองไปทำความรู้จักกับสถานที่ใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ บ้าง มันก็ทำให้เราได้เห็นอะไรกว้างขึ้น ได้เปลี่ยนรสชาติอาหารปากและอาหารใจ และบางทียังทำให้เรากลับมาย้อนมองตัวเอง แล้วรู้จักตัวเองได้มากขึ้นนะครับ
    อ่าน ‘ทำนองปริศนา’ เพียงตอนแรกอาจจะยังไม่ค่อยได้เรื่องราวเท่าไหร่ เป็นแค่การเปิดเรื่องเท่านั้น ตอนแรกนั้นตีพิมพ์ไปใน Kool Jazz ฉบับที่สองครับ ซึ่งจนบัดนี้ฉบับที่สามก็ยังไม่ได้ออกมาอีกเลย ดังนั้นผมจึงมีต้นฉบับ ทำนองปริศนา ตอนต่อๆ ไปเก็บไว้บ้าง และเป็นตอนที่ไม่เคยตีพิมพ์ที่ไหนด้วยนะครับ เอาเป็นว่าคราวหน้าผมจะเอาตอนที่สองมาให้อ่านต่อกันเลยดีกว่า
    และเหมือนเคยครับ ใครอยากอ่านเรื่อง ‘แจ๊ซ’ ของน้องดุสิตา ก็เข้าไปอ่านได้ที่ www.dusita.blogspot.com ได้เลย
    สำหรับวันนี้ ผมคงต้องขอลาไปก่อน …คือว่า มีซีดีแจ็ซที่เพิ่งซื้อมารอให้ไปฟังอยู่น่ะครับ