ทำนองปริศนา

เมษายน 2, 2008

หายจากการอัพบล็อกไปนาน จนผมชักรู้สึกละอายที่จะอัพอีกครั้ง และก็รอคอยอีกพักใหญ่ จนความละอายมันละลายหายไปเอง คงเหลือแต่คำสัญญาที่ให้ไว้กับน้องแสนสนิทคนเดิม ว่าจะอัพบล็อกพร้อมกันอีก (ซึ่งเธอกับอัพล่วงหน้าไปนานแล้ว) ว่าแล้ววันนี้มีเวลาว่างนิดหน่อย ก็เลยแอบมาอัพบล็อกดูสักที
    โจทย์ที่เรานัดอัพพร้อมกัน คราวนี้ผมเป็นคนตั้งเองครับ (หน้าไม่อาย เป็นคนกำหนดโจทย์ แต่มาอัพทีหลังตั้งนาน) ผมกำหนดไว้ว่าเป็นเรื่อง ‘แจ๊ซ’ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าตอนที่คุยกันนั้นผมกำลังฟังเพลงแจ๊ซอยู่พอดี แล้วนึกๆ ไปก็น่าจะสนุกดีนะ เพราะไอ้คำว่าแจ๊ซนี่มันฟังดูมีอิสระดีจริงๆ
    แต่ด้วยการงานที่รัดตัวมากๆ (เอาล่ะ เริ่มเข้าโหมดแก้ตัวอีกครั้ง) ผมก็ไม่ทันได้นึกเสียทีว่าจะเขียนบล็อกครั้งนี้ออกมาเป็นอย่างไร ผ่านมาเป็นเดือน ในที่สุดวันนี้ผมก็นึกออกครับ คือไม่ได้นึกออกว่าจะเขียนอะไร แต่นึกออกว่าจะเอาอะไรมาลงน่ะ …แหะๆ
    ปลายปี 2549 มีนิตยสารเพลงแจ๊ซเล่มหนึ่งชื่อ Kool Jazz ทำการเปิดตัวครับ ทีมงานขอให้ผมเขียนคอลัมน์ให้ด้วย ตอนนั้นผมเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มหัดฟังเพลงแจ๊ซใหม่ๆ และกำลังสนใจอย่างจริงจังเลยทีเดียว แล้วด้วยความสนใจและความสดใหม่ ผสมกับความว่างๆ (ตอนนั้นยังไม่เริ่มทำ happening) ผมก็เลยคิดคอลัมน์มาเป็น ‘นิยาย’ เลยล่ะครับ (ห้าวไหมล่ะ) โดยกำหนดโครงเรื่องคร่าวๆ ว่าเป็นเรื่องของชายหนุ่มบ้างานคนหนึ่ง ที่ทุกๆ เดือนเขาจะได้รับอัลบั้มแจ๊สปริศนามาให้ลองฟัง โดยไม่ทราบผู้ส่ง โดยไม่มีความรู้เรื่องแจ๊ซ ทำให้เขาต้องค้นหาตัวตนและจุดประสงค์ของผู้ส่งลึกลับ ไปพร้อมๆ กับทำความรู้จักกับดนตรีแจ๊ซไปด้วยพร้อมๆ กัน ผมตั้งชื่อเรื่องว่า ‘ทำนองปริศนา’ ครับ
    และนี่คือตอนแรกของ ทำนองปริศนา…

 * * * * * * * * * *

alovesupreme.jpg

ทำนองปริศนา
    ซองกระดาษสีน้ำตาลธรรมดาสามัญ ถูกใครสักคนวางไว้ในช่องรับเอกสารประจำห้องของผมที่โถงล็อบบี้ในคอนโดฯ มันนอนนิ่งเหมือนรอคอยการกลับมาของผมอยู่หลายชั่วโมงแล้ว แน่นิ่งสงบเสงี่ยม ไม่ตั้งใจจะเรียกร้องความสนใจใดๆ
    แต่มันเรียกร้องความสนใจจากผมได้อย่างรุนแรง เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องปกติสามัญเลย
    ไม่เคยมีใครส่งอะไรมาให้ผมที่คอนโดฯ มาก่อน แม้แต่บิลล์ค่ามือถือหรือเครดิตการ์ด ผมก็ให้ส่งไปที่ออฟฟิศทั้งหมด เจ้าซองกระดาษธรรมดาสามัญนี้จึงเป็นซองแรกที่ได้มานอนสงบอยู่ในช่องของผมในตู้นี้ตั้งแต่ผมอยู่ที่นี่มาสี่ห้าเดือนได้
    ใครล้อเล่นหรือเปล่าวะ? ก็ผมไม่เคยให้ที่อยู่นี้กับใครนี่นา ไม่ใช่เพราะอยากให้เป็นความลับอะไรหรอก แต่ผมอยากให้ห้องที่คอนโดฯ ของผมหลุดพ้นจากเรื่องต่างๆ ของโลกภายนอก ไม่มีเรื่องงานให้ต้องคิด ไม่ต้องติดต่อสื่อสารกับคนอื่นๆ ทุกวันนี้ผมมีเวลาเป็นของตัวเองไม่เยอะนัก กลับมาถึงห้องดึกดื่นก็ไม่อยากยุ่งกับใครอีกแล้ว
    รปภ. ประจำคอนโดฯ นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องออฟฟิศกลางล็อบบี้ ไม่สนใจเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นตรงตู้ใส่จดหมายข้างๆ ห้อง ผมตัดสินใจไม่ถามไถ่อะไรจากเขา เพราะคงไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี ผมเอื้อมมือไปหยิบซองกระดาษขึ้นมาดู ไม่มีการจ่าหน้าซองใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนจะมีสิ่งของอยู่ข้างใน จับๆ ดูก็เดาได้ว่าคงเป็นกล่องซีดี อาจจะเป็นแผ่นหนังหรือไม่ก็อัลบั้มเพลง ผมแกะซองออกดูทันที
    กล่องซีดีสีหม่นทึมหล่นสู่อุ้งมือผมอย่างง่ายดาย ดูจากปกที่เป็นภาพขาวดำของชายผิวสีหน้าตาเคร่งเครียดแล้วบ่งบอกว่าน่าจะเป็นอัลบั้มเพลง ด้านบนมีตัวอักษรอ่านได้ความว่า A Love Supreme / John Coltrane
    สงสัยเป็นพวกฮิปฮอปล่ะมั้ง…
    โทรศัพท์มือถือของผมสั่นเสียงลั่น ดังสะท้อนไปทั่วโถงล็อบบี้
    ผมรีบยัดซีดีคืนใส่ซองกระดาษ หยิบมือถือขึ้นมาดู …ชื่อที่โชว์อยู่คือชื่อของหัวหน้า – ผู้อำนวยการฝ่ายขาย
    “สวัสดีครับ…” ผมปั้นเสียงสุภาพรับสาย
    “ไปเลี้ยงลูกค้าเป็นไงบ้าง” หัวหน้าถามเสียงเข้ม
    “ดีครับพี่ คุณบัญชาแกเซ็นใบจองแล้ว ต้องเกลี้ยกล่อมอยู่นาน เหล้าเกือบหมดกลมแน่ะกว่าจะยอมเซ็น”  
    “ดี” ถึงเป็นคำชม แต่เสียงยังเข้มอยู่ “แล้วพรุ่งนี้อย่าลืมนะ มีประชุมฝ่ายขายตอน 9 โมงเช้า”
ผมรับปากมั่นเหมาะว่าตื่นไปทันประชุมแน่นอน ในใจนึกลิงโลดที่พรุ่งนี้มียอดขายไปอวดเพื่อนร่วมแผนก แต่พอหัวหน้าวางสายไปแล้ว ผมกลับนึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย …ดึกดื่นขนาดนี้ยังโทรมาตามงานกันอีกนะ
    ยังไม่ทันจะกดลิฟต์ขึ้นห้อง โทรศัพท์มือถือที่ถืออยู่ในมือก็ดังขึ้นอีก คราวนี้เป็นเพื่อนเก่าชื่อไอ้ชาลีโทรมา
    “เฮ้ย! ยังทำงานอยู่ออฟฟิศป่าววะ? มาดูกูเล่นไหม กูมีเล่นเปิดผับใหม่ตอนเที่ยงคืน ใกล้ออฟฟิศมึงเลยหนา…” เพื่อนเก่าพูดอ้อแอ้มาตามสาย เสียงบรรยากาศทางโน้นอื้ออึง นี่สงสัยมันจะเมาก่อนเล่นดนตรีอีกแล้วสิ …ไอ้หมอนี่เคยหัดเล่นกีตาร์มาพร้อมๆ กับผมตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่ม พอโตขึ้นมันก็ยังเล่นดนตรีอยู่ เล่นจนกลายเป็นอาชีพไปเลย ส่วนผมน่ะเลิกเล่นมานานแล้ว ประสบการณ์ใกล้เคียงการเล่นดนตรีที่สุดในช่วงนี้คือการไปร้องคาราโอเกะกับลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงานเดือนละครั้งสองครั้ง
    “เฮ้ย ไม่ได้ๆ กูกลับถึงบ้านแล้ว พรุ่งนี้ประชุมตอนเช้าด้วย ไว้วันหลังนะ” ในใจผมใคร่ครวญคำถามของมัน …ถึงผมจะอยู่บ้านแล้ว แต่ก็พอจะบอกได้เหมือนกันว่าผมยังทำงานอยู่ เพราะเมื่อกี๊เพิ่งวางสายจากเจ้านายไปหยกๆ
    “อะไรว้า ไม่เคยมีเวลาให้เพื่อนฝูงเลยหนาโว้ย ไอ้สาด” ไอ้ชาลียังลากเสียงอ้อแอ้อยู่ไม่วาย
    “เออๆๆ กูมีอะไรจะถามมึงพอดี” ผมแวบนึกถึงซีดีปริศนาขึ้นมาได้ “มึงรู้จักอัลบั้มนี้ไหม? …อะ เลิฟ สุพรีม ของ จอห์น โคลเทรน”
    มันเงียบไป แต่เสียงบรรยากาศอื้ออึงยังก้องอยู่ในหูผม
    “ไอ้เวร เดี๋ยวนี้ริฟังแจ๊สแล้วเหรอมึง” ชาลีหัวเราะดังลั่น “มัวแต่ฟังเพลงคนเดียวเหงาๆ อยู่ได้ ไม่ออกมาเจอผู้คนบ้างเล้ย ว่างๆ มึงแวะมาดูกูเล่นดีกว่ามั้ง ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้วนะเว้ย… เฮ้ยๆๆ กูวางสายก่อน พอดีหญิงโทรมาว่ะ“ เพื่อนเก่าแก่พ่นคำอ้อแอ้ออกมาแค่นี้ แล้วผมก็ยินเสียงสัญญาณว่างเปล่าดังตื้ดๆ ตื้ดๆ
    เหลือบไปมองดู รปภ. คนเดิมที่ยังก้มหน้าอ่านหนังสือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กำแพงแห่งโลกส่วนตัวของเขาช่างแข็งแกร่งจริงๆ
    ไม่เหมือนผมที่อุตส่าห์ซื้อคอนโดฯ ห้องเดี่ยวอยู่สูงถึงชั้น 20 จากระดับพื้นผิวของเมืองกรุงเทพฯ แต่ดูคล้ายใครๆ ก็บุกรุกเข้ามาในโลกส่วนตัวของผมได้ทุกเมื่อ
    …ไม่ว่าจะเป็นเวลาดึกดื่นแค่ไหน

———————–

    เครื่องปรับอากาศเริ่มทำงาน ไฟในห้องสว่างไสว ผมกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความภูมิใจ ห้องเดี่ยวเรียบหรูแบบโมเดิร์นราคาสองล้านสามแสนบาทห้องนี้คือหลักฐานยืนยันความสำเร็จในการงานของผม สำหรับผู้ชายวัยยังไม่ถึงสามสิบเต็ม การที่สามารถหาเงินมาผ่อนห้องแบบนี้ได้ทุกเดือนก็นับว่าไม่เลวนักหรอก
    ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่กลับมาถึงห้องของตัวเอง ไม่ว่าจะเหนื่อยมาขนาดไหน
    แต่วันนี้ผมเหนื่อยจริงๆ แล้วก็มึนหน่อยๆ ด้วย คุณบัญชาเป็นลูกค้าที่รับมือยากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยเจอ ทั้งที่เราสองฝ่ายต่างก็รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรการเซ็นสัญญาซื้อห้องชุดที่ผมเป็นเซลล์อยู่ก็ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ แต่เขาเล่นตัวอยู่นานสองนาน ให้ผมเลี้ยงข้าวเลี้ยงเหล้าครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะยอมขยับมือเซ็นแค่ใบจอง …นี่คงต้องเจอกันอีกหลายยกกว่าจะเก็บเงินครบทุกบาททุกสตางค์
    ผมล้มตัวลงบนเตียง คืนนี้ขอนอนมันทั้งอย่างนี้ล่ะวะ มือซ้ายเอื้อมมือไปตั้งนาฬิกาปลุก ส่วนมือขวา…ซองกระดาษปริศนานั่นยังอยู่ในมือขวาผมอยู่เลย
    เพลงแจ๊สเหรอ? เออ ดีเหมือนกัน ผมนึกถึงเปียโนเบาๆ แซ็กโซโฟนหวานๆ เสียงร้องเซ็กซี่ของสาวสวย …มันน่าจะกล่อมให้ผมหลับฝันดีได้ ผมชอบเพลงแจ๊สเพราะๆ บอซซาโนวาพลิ้วๆ ตามผับประเภทชิลล์เอาต์หรือร้านกาแฟเก๋ๆ ที่เคยนัดลูกค้าไปนั่งคุยงานอยู่แล้ว ถึงจะไม่เคยตั้งใจฟังอย่างจริงจังก็เถอะ
    ผมยัดแผ่นซีดีแปลกหน้าสีขาวขอบดำเข้าไปในเครื่องเสียงข้างเตียง กดปุ่มเพลย์ แล้วเอื้อมมือไปปิดไฟ ทั้งห้องมืดสนิทเหมือนเวลากำลังหยุดนิ่ง ดนตรีเริ่มต้นบรรเลง
    เสียงฆ้องดังผ่าง! …ตามมาด้วยแซ็กโซโฟนพลิ้วๆ เปียโนเบาๆ …อ่า เริ่มแล้วๆ
    เงียบไปอึดใจ ก่อนที่เบสจะส่งเสียงดัง ตึ่ง ตึง ตึ่ง ตึ๊ง ย้ำไปมา ผมผงกหัวตามน้อยๆ ตามจังหวะ แซ็กโซโฟนตามเข้ามา โอ้ ท่าทางจะชิลล์ไม่เบา ผมปล่อยตัวปลดใจไปตามบทเพลง เดี๋ยวคงมีเสียงร้องสวยๆ ของนักร้องสาวสักคนตามมาแน่ๆ แล้วผมคงจะร่วงผลอยลงสู่ห้วงนิทรารมณ์อย่างแสนสุข
    แต่แซ็กโซโฟนยังพลิ้วไหวไม่เลิกรา บางช่วงเร่งเร้าจนล่วงเกินความรู้สึกผ่อนคลาย
    เหมือนไม่ได้มาด้วยกัน คล้ายต่างคนต่างเล่น เบสยังคงย้ำ ตึ่ง ตึง ตึ่ง ตึ๊ง เนิบๆ ขณะที่แซ็กโซโฟนไล่ทำนองขึ้นลง ว่องไว กระชั้น ถี่ห่าง พลิ้วไปตามอารมณ์ผู้เล่น …เสียงนักร้องสาวสวยไม่มาสักที ผมเริ่มอึดอัด นี่มันเพลงอะไรกันวะ? ผมนึกก้องในใจท่ามกลางความมืด
    ฉับพลัน! แซ็กโซโฟนกลับมาเล่นเป็นเนื้อเดียวกับเสียงเบส ตึ่ง ตึง ตึ่ง ตึ๊ง เนิบช้า อีกอึกใจต่อมา เสียงร้องมาถึงจนได้ …แต่ดันเป็นเสียงต่ำทุ้มของมนุษย์เพศชาย บ่นพึมพัมไปตามท่วงทำนองเบส ท่องคำว่า “อะ เลิฟ สุพรีม” ซ้ำไปซ้ำมา
    อย่างกับสวดมนต์แน่ะ!
    ผมกำลังจะเอื้อมมือไปปิดเพลง แต่ท่วงทำนองก็แปรผันไปอีก แซ็กโซโฟนยังโดดเด่นอยู่ข้างหน้า แต่ผมเริ่มรู้สึกถึงเปียโนที่ไหลลื่นอยู่ข้างหลัง นั่นๆ เปียโนลอยมาอยู่ข้างหน้าแล้ว เหมือนอยู่ดีๆ ไอ้คนที่เป่าแซ็กอยู่ไหวๆ นั่นก็แวบออกจากวงไปเสียอย่างนั้น แล้วพักใหญ่ๆ มันก็กลับมา คราวนี้เร่งร้อนยิ่งกว่าเก่า! กลองที่เคยรองพื้นอยู่ข้างหลังพลันส่งเสริมการกลับมาของแซ็กโซโฟนให้ตื่นเต้นยิ่งขึ้น จนผมต้องนอนขมวดคิ้วอยู่ในความมืด กล้ามเนื้อรอบกายเขม็งเกร็ง
    จบแล้ว…นี่มันเพลงอะไรวะ? ผมถอนหายใจหนึ่งเฮือกใหญ่
    ยัง…ยังไม่หมด เพลงถัดไปเริ่มต้นแล้ว กลองตีหวดแหลกราญ ถี่ยิบ บ่งบอกว่าท่วงทำนองต่อไปนี้จะรุกเร้ายิ่งกว่าเดิมหลายเท่า โอ้! นอนไม่ได้แล้วโว้ย! ผมลุกขึ้นพรวดพราด เปิดไฟ และปิดเพลงทันที…
    กล่องซีดีสีดำที่ผมเพิ่งได้มาฟรีๆ นอนสงบอยู่ข้างเครื่องเสียงราคาหลายหมื่นบาท ผมหยิบมันขึ้นมาพิจารณา ใบหน้าด้านข้างของชายบนปกที่คงชื่อ จอห์น โคลเทรน ดูเคร่งขรึมจริงจัง ราวกับจะบอกว่างานชิ้นนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะโว้ย ผมน่าจะเอะใจตั้งแต่เห็นหน้าไอ้หมอนี่ทีแรกแล้ว พอพลิกหลังปกดูชื่อเพลง ปรากฏว่าผมฟังไปแล้ว 2 เพลง ความยาวร่วม 15 นาที ทั้งสองเพลงนั้นชื่อ Acknowledgement กับ Resolution
    ‘การยอมรับถึงการมีอยู่ของอะไรบางอย่าง’ กับ ‘การตกลงใจ’ อย่างนั้นเหรอ?
    ยอมรับอะไร? ตกลงใจทำอะไร? …แล้วเพลงแจ๊สอะไรทำไมมันช่างไม่ชิลล์ได้ขนาดนี้วะ? หรือจะมีคนส่งเพลงเหล่านี้มาเพื่อกลั่นแกล้งผม?
    ยังมีอีก 2 เพลงที่ผมไม่ได้ฟัง ชื่อว่า Pursuance กับ Psalm สองคำนี้มันแปลว่า  ‘การลงมือทำตามความตั้งใจ’ กับ… เออ ผมไม่รู้ความหมายของคำว่า Psalm แฮะ
    ข้อมูลหลังปกยังบอกอีกว่าอัลบั้มนี้บันทึกเสียงเมื่อปี ค.ศ. 1964
    40 ปีมาแล้ว! …ผมยังไม่ทันเกิดเลยด้วยซ้ำ 
    ใครทะลึ่งส่งอัลบั้มเพลงที่เก่าขนาดนี้มาให้ผมเนี่ย มันแปลว่าอะไรวะ? เพลงแบบนี้ไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องกับผมได้เลยแม้สักหนึ่งวินาทีของชีวิต สงสัยส่งผิดห้องแน่ๆ อาจจะเป็นของห้องข้างๆ คนส่งอาจจะวางผิดช่อง ผมควรจะเอาไปคืนผู้รับที่ถูกต้อง
    พรุ่งนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้เช้าผมค่อยไปถามห้องข้างๆ ผมวางกล่องซีดีลงที่เดิม เอื้อมมือปิดไฟ และไม่ได้เปิดเพลงอะไรฟังอีก จริงๆ แล้วผมมีซีดีของตัวเองอยู่ไม่กี่แผ่น แถมตอนนี้ไม่นึกอยากฟังเพลงอะไรอีก
    และคืนนี้ผมเหนื่อยมามากเกินไปแล้ว

———————–

    บรรยากาศในห้องประชุมตึงเครียด เดือนนี้เซลล์หลายคนขายอะไรไม่ได้เลย จริงๆ แล้วงานขายอสังหาริมทรัพย์แบบที่เราทำกันอยู่ก็มีโอกาสหงอยเหงาอยู่บ่อยๆ การขายบ้านสักหลังหรือคอนโดฯ สักห้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นักหรอก ยิ่งสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ถ้าเดือนหนึ่งมีคนเซ็นใบจองสักรายสองรายก็ควรจะยิ้มได้แล้ว
    เดือนนี้ผมรอดตัว ต้องขอบคุณคุณบัญชาสำหรับใบจองเมื่อคืน จะว่าไปผมก็เป็นเซลล์ที่ทำยอดขายไม่เลว แทบทุกเดือนผมขายห้องชุดได้บ้าง ปล่อยพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่าบ้าง บางเดือนก็โชคดีถึงขนาดขายบ้านเดี่ยวราคาสิบล้านได้ ไม่ว่าบริษัทของเราจะมีอะไรให้ขาย ผมก็ส่งต่อให้ลูกค้าได้อย่างไม่ยากเย็น
    แต่คนที่ทำยอดขายได้เหนือกว่าใครๆ เสมอมีอยู่คนเดียว – หัวหน้านั่นเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหัวหน้ามีตำแหน่งเป็นถึงผู้อำนวยการฝ่ายขาย ฝีไม้ลายมือและคอนเน็กชั่นที่สั่งสมจากประสบการณ์ร่วมยี่สิบปีในงานขายอสังหาริมทรัพย์ย่อมไม่ใช่ธรรมดา
    เหนือไปกว่านั้น ฝีมือการคุมทีมขายของหัวหน้ายังยอดเยี่ยมอีกด้วย เซลล์คนไหนขยัน หัวหน้าก็มีกลยุทธ์การขายมาสั่งสอนไม่รู้จบ ส่วนเซลล์ที่ขี้เกียจก็ไม่มีใครอู้งานได้ เพราะหัวหน้าจะรู้ทันเล่ห์ข้ออ้างไปเสียหมด หัวหน้าเป็นมนุษย์ทำงานที่จริงจังที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ ถึงขนาดที่อุทิศทั้งชีวิตจิตใจให้บริษัทก็ว่าได้
    การประชุมวันนี้หัวหน้าก็แสดงความจริงจังออกมาโดยการไล่ถามงานของเซลล์ทีละคนในเดือนที่ผ่านมา แล้วก็ไล่ด่าเรียงตัวทีละคน มีผมคนเดียวที่ไม่ถูกด่า
    ผมนั่งฟังคนอื่นโดนประณามไปเรื่อย นานเข้าสมาธิก็เตลิดเปิดเปิง นึกไปถึงเรื่องแปลกๆ เมื่อเช้าที่ผมไปเคาะประตูห้องข้างเคียงถามเรื่องซีดี ห้องทางขวาของผมเป็นหญิงสาวหน้าตาสะอาดสะอ้าน อายุสักยี่สิบห้าเห็นจะได้ ผมเคยเห็นเธอแวบๆ มาก่อนสามสี่ครั้ง แต่นี้เป็นครั้งแรกที่เราได้คุยกัน เธอบอกว่าไม่รู้จักอัลบั้มอะไรนี่หรอก แล้วก็หัวเราะขำให้กับคำถามแปลกๆ ที่ผมนำมาคุยแต่เช้า
    ห้องทางซ้ายมือไม่ยอมเปิดประตู แต่ผมรู้ว่ามีคนอยู่ เพราะเพิ่งเห็นหนุ่มใหญ่ท่าทางภูมิฐาน อายุสักสี่สิบ ย้ายเข้ามาอยู่เมื่อไม่กี่วันก่อน
    ตกลงผมว่าผมยังไม่สามารถไขปริศนาซีดีลึกลับนี้ได้ ก่อนออกมาทำงาน ผมลองเปิดฟังอีกรอบ แล้วก็ฟังไม่จบเหมือนเดิม
    เสียงหัวหน้าดุด่าเซลล์คนอื่นจางลงเหมือนโต๊ะประชุมถอยห่างไปไกลแสนไกล ห้องประชุมที่สว่างไสวคล้ายกำลังมืดลงช้าๆ
    ในหัวผมยังก้องไปด้วยเสียงนั้น ตึ่ง ตึง ตึ่ง ตึ๊ง…ตึ่ง ตึง ตึ่ง ตึ๊ง ราวกับเป็นท่วงทำนองของประโยคคำถามอะไรบางอย่าง
    ผมคงต้องขบคิดอย่างหนัก อย่าว่าแต่จะหาคำตอบเลย …แค่คำถามผมก็ไม่เข้าใจเสียแล้ว

* * * * * * * * * *

    การฟังเพลงแจ๊ซเป็นเหมือนการไปท่องเที่ยวในดินแดนที่เราไม่คุ้นเคยครับ บางทีก็ได้อารมณ์ไม่คุ้นชิน ฟังภาษาที่เขาพูดไม่เข้าใจ แต่การรู้จักเปลี่ยนทิวทัศน์รอบกาย ได้ลองไปทำความรู้จักกับสถานที่ใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ บ้าง มันก็ทำให้เราได้เห็นอะไรกว้างขึ้น ได้เปลี่ยนรสชาติอาหารปากและอาหารใจ และบางทียังทำให้เรากลับมาย้อนมองตัวเอง แล้วรู้จักตัวเองได้มากขึ้นนะครับ
    อ่าน ‘ทำนองปริศนา’ เพียงตอนแรกอาจจะยังไม่ค่อยได้เรื่องราวเท่าไหร่ เป็นแค่การเปิดเรื่องเท่านั้น ตอนแรกนั้นตีพิมพ์ไปใน Kool Jazz ฉบับที่สองครับ ซึ่งจนบัดนี้ฉบับที่สามก็ยังไม่ได้ออกมาอีกเลย ดังนั้นผมจึงมีต้นฉบับ ทำนองปริศนา ตอนต่อๆ ไปเก็บไว้บ้าง และเป็นตอนที่ไม่เคยตีพิมพ์ที่ไหนด้วยนะครับ เอาเป็นว่าคราวหน้าผมจะเอาตอนที่สองมาให้อ่านต่อกันเลยดีกว่า
    และเหมือนเคยครับ ใครอยากอ่านเรื่อง ‘แจ๊ซ’ ของน้องดุสิตา ก็เข้าไปอ่านได้ที่ www.dusita.blogspot.com ได้เลย
    สำหรับวันนี้ ผมคงต้องขอลาไปก่อน …คือว่า มีซีดีแจ็ซที่เพิ่งซื้อมารอให้ไปฟังอยู่น่ะครับ