เรื่องสั้นของมนุษย์เงินเดือน

เมษายน 15, 2007

ตอนเรียนที่จบแล้วออกมาทำงานแรกๆ นั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญช่วงหนึ่งของชีวิตผมครับ
    จริงๆ แล้วผมคิดว่าสำหรับคนปัจจุบันที่ใช้ชีวิตตามเกณฑ์การศึกษามาตลอด เมื่อเปลี่ยนผ่านจากรั้วมหาวิทยาลัยมาสู่วัยทำงานก็มักจะรู้สึกว่าชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงกันทั้งนั้น จากที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรก็ต้องเริ่มต้องหารายได้เองอย่างจริงจัง จากที่เรียนๆ เล่นๆ อยู่กลางหมู่เพื่อนๆ ก็ต้องมากลายเป็นเด็กใหม่ในโลกของผู้ใหญ่ มีเพื่อนบางคนที่ทนรับ ‘ชีวิตจริง’ ไม่ค่อยได้ ก็รีบหาทางออกด้วยการไปเรียนต่อเพื่อจะยืดชีวิตวัยเรียนของตัวเองให้ยาวออกไปอีกหน่อยก็มี (แต่ก็มีเพื่อนอีกบางคนที่วางแผนชีวิตไว้แล้วว่าจะต้องเรียนต่ออะไร)
    ผมเองก็รู้สึกแปลกแยกกับชีวิตจริงไม่เบา ถึงที่งานที่แรกของผมไม่ต้องมีการตอกบัตร แต่ก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่คนในที่ทำงานทำคล้ายๆ กัน อย่างเช่นรีบกินข้าวเที่ยงในหนึ่งชั่วโมงเหมือนกัน พูดคุยเรื่อง ‘ในกระแส’ หรือเรื่อง ‘ดินฟ้าอากาศ’ คล้ายๆ กัน แล้วก็บ่นเรื่องความลำบากตอนปลายเดือนเหมือนๆ กัน
    ทำงานไปสักสองสามเดือน ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองแก่ลงทันตาเห็น ตอนนั้นผมนึกท้อในในว่าวิชาที่ร่ำเรียนมามอบการงานน่าเบื่อแบบนี้ให้ผมหรือนี่ และโลกแห่งการเขียนหนังสือก็กลายเป็นโลกใหม่ที่สร้างความน่าตื่นเต้นให้ผม ตอนนั้นผมกลับบ้านมานั่งเขียนโน่นนี่ก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่แทบทุกวัน จำได้ว่าตอนแรกยังพิมพ์ดีดไม่ได้ ก็อาศัยเขียนลงสมุดก่อน แล้วมานั่งกดแป้นทีละตัวเพื่อทำเป็นไฟล์คอมพิวเตอร์อีกที ซึ่งข้อดีก็คือมันทำให้ผมได้อ่านทวนไปด้วยอีกรอบ
    เรื่องสั้นเรื่องที่สามของผมชื่อเรื่อง ‘เมื่อวานของวันพรุ่งนี้’ เป็นเรื่องที่พูดถึงมนุษย์เงินเดือนโดยตรงครับ ตอนนั้นมันคงจะเป็นเรื่องที่อยู่ในใจเอามากๆ ผมเขียนเรื่องนี้ไม่นาน แล้วก็ส่งไปที่หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เซ็กชั่นจุดประกาย เพราะว่าตอนนั้นที่บ้านรับหนังสือพิมพ์เล่มนี้ ส่งไปไม่นาน เพื่อนผมคนหนึ่งที่อยู่ที่นั้นแล้วรู้จักกับพี่นันทขว้าง สิรสุนทร ซึ่งตอนนั้นดูแลหน้าเรื่องสั้นอยู่ก็บอกว่าเรื่องนี้ไม่ผ่านการพิจารณา ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ประมาณว่ายังมั่นใจอยู่ว่ามันโอเคนะ ก็เลยส่งไปที่สตรีสาร แล้วรู้สึกว่าช่วงนั้นสตรีสารจะปิดตัวลงพอดี ผมก็เลยส่งไปที่มติชนสุดสัปดาห์อีก รออยู่หลายเดือนมาก ก็ไม่ได้ลง แต่ความมั่นใจยังอยู่ครับ คราวนี้ผมส่งไปที่ช่อการะเกด ของคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี เลย (กล้าหาญมากๆ ) แต่ในที่สุดทางช่อการะเกดก็แจ้งมาว่าไม่ผ่านการพิจารณา กลายเป็นว่าผ่านมาเกือบปีแล้ว เรื่องสั้นเรื่องนี้ยังไม่ได้ตีพิมพ์ที่ไหนเลย
    ผมกลับมานั่งอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้แบบพิจารณาอีกที แล้วผมก็ตัดสินใจแก้ไขมัน พล็อตและลำดับการเล่าเรื่องยังเหมือนเดิม แต่ผมเติมความใจเย็นลงไป แล้วก็เปลี่ยนตอนจบให้มันไม่ชัดเจนขึ้นนิดหนึ่ง คือดูคลุมเครือขึ้นนิดๆ (แต่ก็ยังเข้าใจได้อยู่ดี)  …ผมรู้สึกว่ามันดีขึ้นเป็นกอง
    แล้วมันก็ได้ตีพิมพ์ที่แพรวจนได้ครับ

* * * * * * * * * *

YesterdayToday

เมื่อวานของวันพรุ่งนี้

    ตอนแรกผมก็นึกว่าวันนี้คงจะเป็นเหมือนวันอื่นๆ ทั่วไป เหมือนเมื่อวานนี้แล้วก็เหมือนวันพรุ่งนี้ แต่พอผมหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าประจำวันนี้ขึ้นมาอ่าน ผมก็รู้สึกว่ามีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นเสียแล้ว เพราะมันเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับประจำวันพุธที่ 2 ตุลาคม ก็ผมจำได้ว่าเมื่อวานนี้เป็นวันจันทร์นี่นา — วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2539 แน่นอน ถ้าผมไม่ได้กำลังอ่านข่าวของวันพรุ่งนี้อยู่หนังสือพิมพ์ก็คงลงวันที่ผิดแน่ แต่พอผมพลิกดูหน้าอื่นๆ ทุกหน้าก็พิมพ์วันที่เป็นวันพุธที่ 2 เหมือนกันหมด คราวนี้แหละ เรื่องแปลกจริงๆ เสียแล้วสิ
    ผมอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกจากบ้านไปขึ้นรถเมล์เหมือนทุกวัน ขณะที่อยู่บนรถเมล์ผมก็ครุ่นคิดถึงเรื่องหนังสือพิมพ์เมื่อเช้าไปด้วย จะเป็นไปได้ไหมว่าหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นลงวันที่ผิดทั้งฉบับ ก็วันนี้มันเป็นวันอังคารแน่ๆผมจำไม่ผิดหรอก เมื่อวานนี้เป็นวันจันทร์ พอตื่นมาอีกวันจะกลายเป็นวันพุธไปได้ยังไง
    เพื่อความแน่ใจผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าวันนี้มันเป็นวันอะไรกันแน่ แต่จะทำยังไงดีล่ะ? ลองถามคนอื่นดูน่าจะดี
    “ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่ครับ?” ผมถามหญิงสาวที่ยืนโหนรถเมล์อยู่ข้างหน้า
    “เออ…2 ค่ะ” เธอตอบพร้อมกับทำหน้าแปลกๆ คงนึกว่าผมจะจีบเธอกระมัง แต่คำตอบของเธอก็ยังไม่ทำให้ผมหายข้องใจ ผมจึงต้องถามเธออีกที
    “วันนี้วันพุธใช่ไหมครับ?”
    เธอตอบชัดถ้อยชัดคำว่า “ใช่ค่ะ” แล้วทำหน้าแปลกเข้าไปอีก คราวนี้คงเป็นเพราะเธอดูออกว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะจีบเธอมากกว่า ผมรีบกล่าวขอบคุณเธอแล้วทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    เอ… หรือผมจะนอนหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ เสียแล้ว เป็นไปได้หรือนี่! ยิ่งคิดผมก็ยิ่งสับสน เป็นไปไม่ได้หรอกโว้ย จะขี้เซาอะไรขนาดนั้น
    ผมมาถึงที่ทำงานเกือบแปดโมงเช้าเหมือนวันอื่นๆ ผมต้องเร่งฝีเท้าเพื่อไปตอกบัตรให้ทันก่อนเวลาเข้าทำงาน บางทีถ้าวันนี้เป็นวันพุธจริงล่ะก็ ผมอาจจะขาดงานไปหนึ่งวันแล้วก็ได้
    เป็นการขาดงานโดยไม่ได้ลาเสียด้วย!
    แต่ผมก็โล่งใจ เมื่อหยิบบัตรตอกเวลาขึ้นมาดูแล้วพบว่าเมื่อวานผมไม่ได้ขาดงานอย่างที่คิดไว้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็เป็นวันพุธจริงๆ น่ะสิ แต่ทำไมผมถึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเมื่อวานนี้เลยล่ะ เออ… ผมหมายถึงเมื่อวานที่เป็นวันอังคารน่ะ
    ผมเดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเอง เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งทักขึ้นว่า “เป็นไงครับ เมื่อเช้ารถติดมากไหมครับ?” ผมยิ้มจืดๆ ให้เขาแทนคำตอบ รู้สึกเบื่อกับคำถามพื้นๆ อย่างนี้เต็มที ความจริงเราแค่ยิ้มทักทายกันก็น่าจะพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบพวกนี้ก็ได้ นี่ถ้ามีใครทักผมด้วยคำถามแปลกๆ บ้างผมคงจะดีใจมากทีเดียว อย่างเช่น “เป็นไงครับ ท่าทางคุณเหมือนจะจำเรื่องเมื่อวานไม่ได้เลยนี่ ผมเล่าให้ฟังเอาไหมครับ?” ไงล่ะ
    งานของเมื่อวานวางอยู่บนโต๊ะ ผมพลิกๆดูก็พบว่าผมได้เซ็นรับรองไปเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อลองอ่านเนื้อหางานอย่างจริงจังผมกลับจำไม่ได้ว่างานพวกนี้ได้ผ่านตาไปแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่
    โอ… ผมจำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับเมื่อวานไม่ได้เลยจริงๆ นะนี่
 
    “ขอโทษครับ คุณเป็นหัวหน้าฝ่ายประมาณราคาใช่ไหมครับ?”
    ผมเงยหน้าขึ้นก็พบชายวัยกลางคนยืนตีหน้าเครียดอยู่ตรงหน้า ผมตอบเขาว่า “ใช่ครับ”
    “เมื่อวานนี้คุณเซ็นอนุมัติงานหมายเลข 251/38 ใช่ไหมครับ รู้ไหมว่าฝ่ายคุณประมาณราคาผิดไปบานเลย คุณลองดูตรงนี้สิครับ คนงานกรรมกรบ้าอะไรทำงานได้วันละสองพัน” เขาใส่ผมเป็นชุดทันที
    “เนี่ยผมส่งเอกสารไปให้ลูกค้าแล้วเขาต่อว่ากลับมา คราวหลังคุณช่วยถี่ถ้วนกับงานมากกว่านี้หน่อยนะ อย่างนี้บริษัทของเราเสียหายนะครับ”
    ผมชักเลือดขึ้นหน้า เขาเป็นใครกันถึงสามารถมาสั่งสอนเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าแผนกอย่างผมได้
    “ใจเย็นๆ หน่อยสิครับ” ผมพูดเสียงแข็ง “ไหนขอผมดูเอกสารหน่อยสิ”    
    เขายื่นเอกสารฉบับนั้นมาให้ผม เมื่อผมเปิดดูก็พบลายเซ็นของตัวเองลงวันที่ของเมื่อวาน ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็จำไม่ได้อยู่ดีว่าเซ็นไปตั้งแต่ตอนไหน
    ถึงแม้หลักฐานจะมีอยู่ชัดเจนว่าเป็นความผิดของผม แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนถูกใส่ร้าย
    “เออ… คือผมจำไม่ได้เหมือนกันว่าเซ็นไปตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะครับ” ผมพูดเบาๆ
    “แต่นี่มันลายเซ็นคุณไม่ใช่หรือครับ… ลงวันที่เมื่อวานนี้ไงล่ะ” เขาพูดเสียงดังจนเกือบตะโกน ทุกคนในห้องหันมามอง “ทำผิดแล้วก็ยอมรับซิครับ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรคุณมากมายหรอก แค่มาบอกให้รู้ว่าลูกค้าเขาต่อว่ามาเท่านั้นแหละครับ”
    ผมเริ่มสับสน ไม่รู้จะเถียงเขายังไงดี แต่ยังไงผมก็ไม่ยอมรับผิดหรอก ก็ผมไม่ผิดนี่นา
    “คุณไม่เข้าใจหรอกครับ เอาเป็นว่าผมยืนยันว่าไม่ใช่ความผิดของผมก็แล้วกัน แต่ผมก็เสียใจนะที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา คราวหน้าคราวหลังผมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก ผมสัญญา” ผมพยายามปัดเรื่องให้พ้นตัว
    “เฮ้ย คุณไม่รับผิดชอบอย่างนี้ได้ยังไง…. เอาเหอะ ไม่ยอมรับผิดก็ไม่เป็นไร แต่ผมเตือนคุณไว้เลยนะว่าทำงานอย่างนี้ไม่มีทางเจริญหรอก” เขาพูดจบแล้วสะบัดหน้าเดินหายไป
    ทิ้งให้ผมยืนหน้าตึงอยู่ท่ามกลางสายตานับสิบคู่

    ผมนั่งทำงานของผมอยู่ครู่หนึ่ง ผู้อำนวยการประจำฝ่ายของผมก็เดินมาที่โต๊ะแล้วเรียกให้ผมเดินตามเข้าไปในห้อง บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย
    “เมื่อกี้นี้คนจากฝ่ายขายเขามาฟ้องพี่ ว่าเราไปเถียงเขาเรื่องที่เราทำงานพลาดแล้วไม่ยอมรับผิด เป็นความจริงหรือเปล่า?” เขาแทนตัวเองว่า ‘พี่’ เพราะเราสนิทกันพอสมควร
    “เออ…ครับ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีกว่านั้น
    “แต่เขามีหลักฐานอะไรชัดเจนนี่ เรื่องแค่นี้ไม่น่าซีเรียสนี่นา ทำงานมันก็ต้องมีพลาดพลั้งไปบ้างล่ะ พอเขาโวยมาเราก็ขอโทษเขาไปซะ พูดจาดีๆ กับเขาหน่อยเท่านั้นเองไม่งั้นคราวหลังจะมองหน้ากันไม่ติด…”
    “คือพี่ครับ ผมอธิบายได้นะครับ” ผมพูดขัดจังหวะขึ้น
    “เอ้า ไหนลองว่ามาสิ” เขาสะดุ้งเล็กน้อย คงแปลกใจที่ผมแทรกขึ้นมา  
    ผมเล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง พยายามทำท่าทางและน้ำเสียงให้จริงจังที่สุด แรกๆเขาทำท่าเหมือนจะไม่เชื่อ แต่พอผมยืนยันมากๆ เข้า เขาก็เริ่มตั้งใจฟังคำพูดของผม
    เรานั่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนเขากำลังใช้เวลาคิดตัดสินใจอยู่ว่าจะเอายังไงกับผมดี
    แล้วเขาก็พูดขึ้นมาในที่สุดว่า “เอาล่ะ… ถ้าเรื่องที่เราพูดเป็นความจริงล่ะก็ พี่ว่าเราน่าจะไปให้หมอเขาเช็คร่างกายดูซะหน่อยนะ เอาพวกจิตแพทย์ก็ได้”
    พอเห็นผมทำหน้าเซ็งๆ เขายิ้มให้ผมเหมือนจะบอกว่าเป็นการพูดล้อเล่น
    “แต่ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นยังไงก็ตาม พี่ว่ามันไม่สำคัญหรอก ลองคิดดูสิ ชีวิตในอดีตของเรามีเรื่องอะไรต่างๆมากมายที่เราไม่สามารถจะจดจำได้หมด สมมุติว่าความทรงจำของเราหายไปสักวันสองวันมันก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรมากมายนี่ พี่ว่าเรื่องในปัจจุบันและอนาคตต่างหาก ที่เราจะต้องคิดถึงให้มากๆ เข้าไว้ เดี๋ยวเราไปขอโทษทางฝ่ายขายเขาหน่อยก็แล้วกัน… เอาล่ะ ไปทำงานต่อเถอะ”
    ผมรับปากอย่างว่าง่ายแล้วเดินออกมา

    จริงๆ แล้วผมว่าที่พี่เขาพูดก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน ถ้าหากความทรงจำในชีวิตของผมหายไปสักวันสองวันมันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรมากมาย แต่ไม่ใช่เพราะว่าอดีตเป็นเรื่องไม่สำคัญหรอก… เป็นเพราะชีวิตที่ต้องทำอะไรซ้ำๆ กันทุกวันต่างหาก ทำงานซ้ำๆ เดินทางไปกลับระหว่างบ้านกับที่ทำงานซ้ำไปซ้ำมา รวมทั้งคำถามทักทายซ้ำซากที่เราต้องพูดอยู่ทุกวันพวกนั้นด้วย ที่ทำให้แต่ละวันในชีวิตของผมไม่มีวันไหนต่างจากวันอื่นๆ จนเป็นที่น่าจดจำเลยสักวันเดียว…
    ดังนั้นถ้ามันจะหายไปสักวันก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายอะไรมิใช่หรือ… ยังไงๆ ทุกวันในชีวิตของผมก็เป็นเพียงเมื่อวานของวันพรุ่งนี้อยู่แล้ว ผมไม่จำเป็นต้องไปเรียกร้องเอามันคืนมาหรอกเพราะมันไม่สำคัญแม้แต่นิดเดียว ไม่สำคัญเลยจริงๆ
    ผมหยุดยืนมองผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่ในสำนักงานแล้วถอนลมหายใจ เออหนอชีวิต… หรือชีวิตคือเรื่องเศร้า เพราะเรามักคิดกันอยู่เสมอว่าเราเป็นเจ้าของมันโดยสมบูรณ์ ทั้งที่เราไม่มีวันรู้วิธีที่จะใช้มันให้คุ้มค่าได้เลย
    ยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินไปยังฝ่ายขาย…
 

ตะเฆ่สัน 14/7/38 (แก้ไข 20/10/39)
ตีพิมพ์ครั้งแรก แพรว 10 มกราคม 2540

* * * * * * * * * *

    ภายหลังเรื่องสั้นเรื่องนี้ก็ไปรวมอยู่ใน ‘หนึ่งปีในเมืองหนึ่ง’ ด้วย มันเป็นเรื่องที่เหมาะกับคนเมืองจริงๆ นะ เรื่องสั้นเรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องที่เน้นพล็อตเหมือนเดิม สมัยเขียนเรื่องสั้นแรกๆ นั้นหัวผมเต็มไปด้วยพล็อตเลยนะครับ ข้อดีของเรื่องนี้คือมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสั้นและสามารถบอกสิ่งที่ต้องการจะพูดได้หมด แต่ข้อเสียคือเมื่อย้อนกลับมาอ่านตอนนี้แล้ว ผมคิดว่ามันเป็นประเด็นที่ช่างเล็กน้อยเหลือเกิน อาจเป็นเพราะตอนเรายังอายุไม่มากก็สนใจเรื่องของตัวเองเป็นหลัก พอเวลาผ่านไปก็เริ่มมองไปยังสังคมที่เราอาศัยอยู่บ้าง แล้วก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า ทุกคนก็มีปัญหาและโจทย์ของชีวิตที่ต้องตอบกันทั้งนั้น
    และสิ่งที่เรามองว่าเป็นปัญหา บางทีอาจเป็นเรื่องที่คนอื่นยิ้มรับอย่างเต็มใจก็เป็นได้.

8 Responses to “เรื่องสั้นของมนุษย์เงินเดือน”

  1. น้องติ๊กเน้อ Says:

    เออ นั่นน่ะสิ ทำไมตอนอายุยังน้อยถึงชอบคิดแต่เรื่องตัวเองเนอะ ติ๊กก็เป็นน่ะพี่ นี่โตแล้วก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ 555 แต่ก็ใส่ใจสังคมโลกอยู่บ้างนะ

  2. Hot Latte Says:

    คิดถึงแต่เรื่องตัวเองรึเปล่าไม่รู้

    แต่ว่า “หนังสือพิมพ์ฉบับประจำวันพุธที่ 2 ตุลาคม ” เหรอคะ?


  3. สังคมในการทำงานกับการเรียน ไม่เหมือนกันเลย ในความรู้สึกฉัน

    จำได้ว่า ตอนเป็นเด็กตัวน้อยๆ ณ วันนั้น คิดว่า เมื่อไรนะ ฉันจะโตเป็นผู้ใหญ่ จะได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำ

    พอโตขึ้นมา กลับพบว่า ชีวิตวัยเด็กตอนนั้น เป็นเวลาที่น่าเก็บ น่าจดจำที่สุด ใสๆ และใช้ชีวิตเพื่อเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เจอเพื่อนที่ถึงแม้จะทะเลาะกัน แต่ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ให้ขัดกัน

    ไม่มีการเมืองในโรงเรียน ฉันคิดอย่างนั้น

    .. อ่านจบละ ..

    ใช่ค่ะ อดีตที่ซ้ำซากจำเจ จะมีอะไรน่าจดจำ เพราะฉะนั้น ก็ควรจะทำชีวิต ให้เหมือนกับมีอะไรใหม่ๆ น่าสนใจอยู่ทุกๆ วัน เนอะ

    มองเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่ อาจจะไม่สำคัญ อยู่ที่ว่า มองเห็น หรือเปล่า


  4. Hot Latte ครับ แก้ไขความผิดพลาดแล้วครับ 😛

    EscRiBiTioNiSt* ครับ เห็นด้วยครับว่าความทรงจำวัยเด็กเป็นสิ่งมีค่าจริงๆ นะ แต่ก็อย่างที่คุณบอก, ควรทำชีวิตให้เหมือนมีอะไรใหม่ๆ น่าสนใจทุกวัน …เนอะ 😀

  5. 1001ii Says:

    ยินดีด้วยครับ เป็น milestone ที่สำคัญขั้นหนึ่งของคนที่ชอบขีดๆ เขียน ๆ นะครับ เอาใจช่วยครับ

  6. gift Says:

    อืมม!!! ก่อนอืนขอชมพี่เลยว่า ขนาดเรื่องสั้นเรื่องแรกพี่ยังเขียนได้น่าสนใจมาก นี่ไม่ได้ชมในฐานะคนรู้จักนะ ชมในฐานะคนผ่านมาอ่านแล้วคิดว่าพี่ยังเป็นมนุษยืเงินเดือนอยู่ อิอิ ก็ถ้าเห็นพี่ในปัจจุบันก็คงไม่แปลกเลยถ้าปัจจุบันนี้พี่เป็นนักเขียน เนื้อเรื่องน่าสนใจ ทพฃำให้กลับมามองเห็นภาพตัวเองเลย แต่เสียดายที่หนูยังไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร ยังค้นตัวเองไม่เจอ
    ขอบคุมากนะค่ะที่พี่แนะนำเรื่องดดีดีให้อ่าน อย่างน้อยมันเป็นประโยชน์สำหรับหนูมาก

  7. Acidrain Says:

    เพิ่งเคยได้อ่านเรื่องสั้นของพี่วิภจริงจังก็คราวนี้
    เขียนดีมากๆเลยค่ะ สมแล้วที่เ้ป็น บ.ก. คนดัง อิอิ
    รับรองว่าจะตามอ่านเรื่อยๆไม่ให้ขาดเล๊ย…
    ว่างๆ แวะเข้าไปติชมของแนนบ้างนะคะ อิอิ

  8. ukyo Says:

    อรุณสวัสดิ์ค่ะ : )

    เพิ่งได้เว็บนี้มาจากเพื่อนคนหนึ่งตั้งแต่สองคืนก่อน
    แต่เพิ่งมีเวลามาอ่านเอาก็เช้านี้ (ส่วนตัวแล้ว เวลานี้ถือว่ายังเช้าอยู่)
    …..

    ตอนแรกที่อ่านเข้าใจว่าจะเป็นเรื่องสั้นแนวเซอร์เรียลนิดๆ
    นึกว่าจะมีหักมุมเป็นการสลับวันเกิดขึ้น
    อาทิ พอตัวเอกตื่นขึ้นมาอีกวัน วันอังคารก็กลับมา (ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะกลับมาทำไม)
    อะไรทำนองนั้น

    พออ่านมาถึงตอนจบเลยแอบผิดหวังนิดๆ ว่า อ้าว…แค่ลืมเมื่อวานไปหรอกเหรอ

    แต่ไม่ได้แปลว่าเรื่องนี้ไม่ดีนะคะ
    เพียงแต่ได้มาอ่านเอาตอนที่คุ้นชื่อเจ้าของเว็บในฐานะนักเขียนแล้ว
    ก็เลยคาดหวังอะไรที่มันเว่อร์ไว้ก่อน จะได้ไม่เซอร์ไพรส์เวลาเจอหักมุม – -”

    เมนไอเดียของเรื่องโดนใจมากค่ะ
    เป็นคนหนึ่งที่เคยเจอสถานการณ์แบบนั้น แล้วก็สงสัยอยู่ตลอดว่า
    คนเหล่านี้เค้ามีชีวิตอยู่อย่างนี้กันได้ยังไงเหรอ
    มันไม่น่าจะเรียกว่าเป็นการ “ใช้ชีวิต” ได้เลย
    สุดท้ายก็อัปเปหิตัวเองออกมาจากชีวิตแบบนั้น มารับเงินเดือนไม่เยอะแต่สนุกกว่า : )

    ชอบประโยคนี้ค่ะ

    “หรือชีวิตคือเรื่องเศร้า เพราะเรามักคิดกันอยู่เสมอว่าเราเป็นเจ้าของมันโดยสมบูรณ์ ทั้งที่เราไม่มีวันรู้วิธีที่จะใช้มันให้คุ้มค่าได้เลย”

    และก็คำตอบนี้
    “มองเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่ อาจจะไม่สำคัญ อยู่ที่ว่า มองเห็น หรือเปล่า”

    อ่านแล้วได้คิดดี : )


ใส่ความเห็น